Menu
ตลาดหุ้นมักสะท้อนอนาคตข้างหน้าโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่จุดต่ำสุด ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มเป็นขาขึ้นแล้วก็ได้ หุ้นที่มีแนวโน้ม outperform ในแต่ละช่วง ไม่ได้หมายความว่าหุ้นนั้นจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก เพียงแต่ให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่มอื่น เช่น หุ้นอาจจะลง แต่ลงน้อยกว่าเท่านั้นเอง
ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย!
โดยหลักๆ แล้ววัฏจักรเศรษฐกิจ จะแบ่งออกเป็น 4 ขั้น โดยเรียงลำดับดังนี้
เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มดูแย่ ดอกเบี้ยสูง มี Yield curve รูปแบบ Flat หรืออาจจะเป็นรูปแบบ Inverted และช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงขาลงของตลาดหุ้นจากแรงขายตามความกลัวของนักลงทุนที่จะเกิด recession ในอนาคตในช่วงแรกกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้ม outperform จะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้าง defensive เช่น การแพทย์และสุขภาพ, กลุ่มสาธารณูปโภค แต่ช่วงปลายอาจจะเป็นกลุ่มธนาคารและการเงิน
เป็นช่วงที่ GDP นั้นเติบโตติดลบ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ยุคข้าวยากหมากแพง ในช่วงนี้อาจจะเริ่มมีการใช้นโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นลดดอกเบี้ย และอาจจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือกำลังเริ่มเป็นแนวโน้มขาขึ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มทำผลงานได้ดีจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ก่อนใครหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเช่น กลุ่มการเงิน, เทคโนโลยี, และกลุ่มวัฏจักร
เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวที่อัตราดอกเบี้ยนั้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ สินค้าที่เหลือค้างสต็อกค่อยๆ ทยอยขายออก ราคาสินค้าเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลประกอบการของธุรกิจดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว, ผู้บริโภคอย่างเราก็เริ่มมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น, และ ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น โดยสังเกตจาก GDP Growthในช่วงนี้ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มอุตสาหกรรม, และกลุ่มวัสดุพื้นฐาน, พลังงาน และสินค้าฟุ่มเฟือย ที่มักจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ซึ่งกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีจะเป็นกลุ่มวัสดุพื้นฐาน, พลังงาน และสินค้าฟุ่มเฟือยแต่อย่างไรก็ตามในตอนปลายของช่วงนี้ตลาดหุ้นเองก็จะเริ่มกังวลกับเศรษฐกิจถดถอย และกลับมาให้น้ำหนักกับกลุ่มบริการที่ค่อนข้าง defensive ในช่วงท้าย เช่น กลุ่มการแพทย์
ผลตอบแทนของหุ้นอาจจะยังไม่ดีขึ้นมากจากช่วงระยะถดถอย ยังคงแนะนำให้ลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ตลง ถ้าจะลงทุนจำเป็นต้องเลือกอย่างระมัดระวังมากๆ โดยแนะนำหุ้นที่มีราคาไม่แพง และกิจการควรมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ เช่น หุ้นสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) เพิ่มสัดส่วนการลงทุน “ตราสารหนี้ระยะยาว” เนื่องจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้มูลค่าของตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น (ราคาตราสารหนี้ระยะยาวจะวิ่งสวนทางกับอัตราดอกเบี้ย) โดยควรเลือกตัวที่มีอัตราเครดิตเรตติ้งที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงที่บริษัทที่ออกตราสารจะล้มละลาย
อ้างอิง
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY
