fbpx
Search
Close this search box.

สรรพสามิต เตรียมเก็บ ‘ภาษีความเค็ม’ เริ่มจากกลุ่มขนมขบเคี้ยว ปี 68

กรมสรรพสามิตเตรียมเริ่มจัดเก็บ “ภาษีความเค็ม” ในปี 2568 โดยมุ่งเป้าไปที่สินค้าสำเร็จรูปที่มีปริมาณโซเดียมสูง โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยว ซึ่งไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยจะใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันไดตามปริมาณโซเดียมในสินค้า ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคโซเดียมน้อยลง หลังพบว่าคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐานสากลถึง 2 เท่า

เนื้อหา

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2567 กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้รวม 532,600 ล้านบาท และในปี 2568 ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้น 16% เป็น 609,000 ล้านบาท โดยถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างมาก

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตยังคงเดินหน้านโยบาย ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสร้างความยั่งยืนและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเน้นปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และพัฒนาบุคลากรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

สำหรับในด้าน E และ S (Environment and Social) จะเน้นนโยบายการขยายฐานภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในด้าน G (Governance) จะมุ่งเน้นการปรับกระบวนการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตทั้งด้านการบริหาร การจัดเก็บภาษี การปราบปราม และการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ตลอดจนการบูรณาการความร่วมมือและสื่อสารกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับร่วมกัน

สรรพสามิตเตรียมจัดเก็บภาษีความเค็ม เพื่อมุ่งเน้นด้านสุขภาพคนไทย

นางสาวกุลยากล่าวว่า ในด้านนโยบายภาษีจะใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืนภาษีความเค็มหรือภาษีโซเดียมกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บ โดยเน้นที่สินค้าสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่จะเริ่มเก็บภาษีในรูปแบบขั้นบันได เช่นเดียวกับภาษีความหวาน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2568

การเก็บภาษีความเค็มนี้จะเป็นภาษีที่ต้องการมุ่งเน้นด้านสุขภาพประชาชนเป็นหลัก โดยปัจจุบันคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐานสากลถึง 2 เท่า ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้คนไทยบริโภคโซเดียมลดลงกรมสรรพสามิตจึงได้เตรียมเก็บภาษีโซเดียม หรือภาษีความเค็มขึ้น 

การใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเพื่อความยั่งยืน

กรมสรรพสามิตตั้งเป้าใช้ภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความยั่งยืน โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างรายได้และการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พร้อมพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

  • ภาษีรถยนต์ จะมีการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine : ICE) ไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility) เช่น รถ EV PHEV HEV และ Hydrogen  
  • ภาษีแบตเตอรี่ จะมีการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่จำเป็นต้องมีการใช้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดเกณฑ์ตามค่า Energy Density หรือประจุไฟฟ้าต่อน้ำหนัก และ Lifecycle หรือรอบการอัดประจุไฟฟ้า
  • ภาษีคาร์บอน เตรียมเพิ่ม “กลไกราคาคาร์บอน” ในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยคำนวณจากค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบกับราคาคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในภาคประชาชนและอุตสาหกรรม ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตยืนยันว่าการเพิ่มกลไกดังกล่าวจะไม่เพิ่มภาระภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน โดยขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ก่อนจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในอนาคต

การแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบโดยส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมสุราชุมชนเพื่อต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีมาตรฐานและแข่งขันได้

นอกจากนี้ ในด้านนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประกอบด้วย

  1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กลไกอัตราตามมูลค่า ซึ่งฐานภาษีสำหรับอัตราตามมูลค่าในปัจจุบันคือ “ราคาขายปลีกแนะนำ” โดยการกำหนดหลักเกณฑ์การแจ้งราคาขายปลีกแนะนำให้เข้มงวดและรัดกุม การกำหนดหลักเกณฑ์การสำรวจและการจัดเก็บข้อมูลเพื่อพิจารณาฐานนิยม การปรับปรุงฐานข้อมูลด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย การกำหนดขั้นตอนการพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำให้ชัดเจน และใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนการกำหนดราคาของกลางเพื่อใช้กระบวนการคำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
  2. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่สามารถสแกน QR code เพื่อตรวจสอบการชำระภาษีผ่านการใช้ e-Stamp สำหรับสินค้าสุรา ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการใช้ e-Stamp กับสินค้าบุหรี่ซิกาแรตที่ประชาชนสามารถตรวจสอบการชำระภาษีสำหรับสินค้าบุหรี่ซิกาแรตได้ โดยมีการจัดเก็บข้อมูล อาทิ ตราสินค้า รายละเอียดสินค้า ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า วันที่ชําระภาษี สถานที่จัดส่ง และราคาสินค้า เป็นต้น โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ว่าตรงกับสินค้าหรือไม่ และหากพบว่าข้อมูลของสินค้ากับข้อมูลที่ปรากฏไม่ตรงกัน ผู้ซื้อสามารถ โทร.แจ้งมายังสายด่วนสรรพสามิต โทร. 1713 ได้ เพื่อกรมสรรพสามิตจะเข้าไปตรวจสอบต่อไป
  3. การพัฒนาคนให้มีความรู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเทคโนโลยีและกฎหมาย เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งจะมีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรในรูปแบบ Digital เช่น พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะทางด้านดิจิทัลแบบ Multi-Skilled Digital และพัฒนาเป็นระบบ e-Knowledge Sharing การถ่ายทอดความรู้ผ่านระบบโรงเรียนสรรพสามิต Excise School ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาเรื่องที่สนใจและพัฒนาทักษะของตนเองให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
  4. การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ Digitalization 4 ด้าน ได้แก่ D-Service D-Office D-Culture และ D-Standard ตัวอย่างเช่น การขึ้นทะเบียน การยื่นแบบชำระภาษี การชำระเงิน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนการใช้ Big Data และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อคาดการณ์รายได้และกำหนดนโยบายภาษีรวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในเชิงนโยบาย

อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวย้ำว่า กรมสรรพสามิตเตรียมพร้อมในทุกมิติ ในการบูรณาการด้านนโยบาย กฎหมาย พัฒนาบุคลากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สอดคล้องและเป็นไปทิศทางเดียวกัน เพื่อที่จะดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนและความสมดุลระหว่างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย 

ผู้เขียน

Picture of ACU PAY Thailand

ACU PAY Thailand

ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand E-Wallet ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่