ตามรายงานของ IMF คาดการณ์ว่าในปี 2571 ขนาดเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์จะสูงถึง 649,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามจะมี GDP อยู่ที่ 629,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยจะร่วงลงมาอยู่อันดับ 4 ด้วย GDP ที่ 624,000 ล้านดอลลาร์ การเติบโตเฉลี่ยของไทยในช่วงเวลานั้นจะอยู่ที่ 2.69% ซึ่งต่ำกว่าฟิลิปปินส์ที่มีอัตราการเติบโตที่ 6.34% และเวียดนามที่เติบโตที่ 5.75%
ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ขนาดเศรษฐกิจของไทยยังคงถูกวัดไว้ที่ประมาณ 529,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่อินโดนีเซียยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วย GDP สูงถึง 1.40 ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 4.96% ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในปี 2569 ซึ่งอัตราการเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 2.57% ขณะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามมีอัตราการเติบโตสูงถึง 6.25% และ 6.01% ตามลำดับ แน่นอนว่าเมื่อประเทศคู่แข่งสามารถเติบโตได้มากกว่าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยเริ่มมีความเสี่ยงที่จะถูกแซงหน้าในด้านขนาดเศรษฐกิจ
เมื่อเข้าสู่ปี 2570 ไทยอาจยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้ แต่ด้วยการเติบโตที่ช้ากว่า ทำให้ฟิลิปปินส์ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว อัตราการเติบโตของไทยอยู่ที่ 2.75% ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของฟิลิปปินส์ที่สูงถึง 6.33% นอกจากนี้ การคาดการณ์ระยะยาวจากรายงานของ IMF ยังแสดงให้เห็นว่า หากไทยไม่สามารถปรับปรุงเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากกว่านี้ ช่องว่างในด้านขนาดเศรษฐกิจจะถูกแคบลงเรื่อยๆ และอาจถูกฟิลิปปินส์และเวียดนามแซงหน้าในที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์และเวียดนามได้รับแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ความเป็นศูนย์กลางการผลิต และนโยบายการขยายตัวที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายในการพัฒนาอย่างมาก เช่น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย และภาระหนี้ที่สูง
ในด้านการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น ประเทศไทยยังมีศักยภาพที่ดีในภาคการท่องเที่ยวและการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ แต่หากไม่มีการปรับปรุงและพัฒนาการลงทุนในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ก็อาจส่งผลให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
จากการเปรียบเทียบข้อมูลจากกลุ่ม Angsana Council และ Bain & Company แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะเฉลี่ย 5.1% โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะมีการเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ เวียดนามจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 6.6% ขณะที่ไทยจะมีอัตราการเติบโตเพียง 2.8% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในอนาคตของเศรษฐกิจไทย
สรุปได้ว่าขณะนี้ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาทักษะของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยต้องให้ความสำคัญในระยะต่อไป หากไทยต้องการที่จะไม่เพียงแค่รักษาตำแหน่งในอาเซียน แต่ยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional" |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other". |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |