fbpx
Search
Close this search box.

ภาษีเพื่ออนาคต: เครื่องมือการคลังใหม่ สู่เป้าหมาย ความยั่งยืน

ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือความไม่แน่นอนทางการเงิน การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงไม่สามารถมุ่งเน้นเพียงการขยายตัวของ GDP แต่ต้องเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และวินัยทางการคลังของประเทศ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจสามารถรักษาเสถียรภาพและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าวคือ “นโยบายการคลัง” โดยเฉพาะการออกแบบและจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพในอดีตการใช้จ่ายจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มักก่อให้เกิดการขาดดุลงบประมาณสะสมและนำไปสู่ภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดีย่อมกระทบต่อเสถียรภาพการคลังของประเทศในอนาคต ตัวอย่างล่าสุดคือการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศลงสู่เชิงลบ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อความสามารถในการบริหารหนี้และรายได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

กระทรวงการคลังจึงได้วางแผนปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ภาครัฐจาก 12-13% เป็น 18% ภายในระยะเวลาอันใกล้ หากสามารถเพิ่มรายได้ตามเป้าหมาย จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 800,000 ล้านบาทต่อปี จึงจะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณและสร้างสมดุลทางการคลังได้เร็วยิ่งขึ้น แผนการปฏิรูปนี้จะครอบคลุมภาษีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นภาษีสรรพากร ภาษีสรรพสามิต หรือภาษีศุลกากร โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือสร้างระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมและรองรับความยังยืนในทุกมิติ

ภาษีสรรพสามิตกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมายสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การเก็บภาษีคาร์บอนจากผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยกำหนดอัตราภาษีแตกต่างกันตามระดับการปล่อยคาร์บอนเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น รวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผ่านการจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำช่วยให้ตลาด EV ในประเทศเติบโตได้เร็วขึ้นแม้จะต้องแลกมากับรายได้จากภาษียานยนต์แบบดังเดิมที่ลดลง 

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมผลักดันภาษีใหม่เพื่อเป้าหมายด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น ภาษีความเค็มที่อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการจัดเก็บสินค้าที่มีโซเดียมสูงโดยไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หรือภาษีแบตเตอรี่ที่จะพิจารณาตามประสิทธิภาพด้านพลังงานและความทนทานของการใช้งาน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีคุณภาพ

ในด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของสรรพากรยังมีช่องว่างที่สามารถพัฒนาได้อีกมาก แม้ปัจจุบันอัตราจะอยู่ที่ 7% แต่กฎหมายเปิดให้สามารถปรับขึ้นได้ถึง 10% โดยต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงการคลังในอนาคต ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอย่างเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บก็จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังโดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะสั้น

การใช้ภาษีในยุคใหม่จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการหารายได้เข้าสู่รัฐเท่านั้น แต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนครอบคลุม และเท่าเทียม เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างพฤติกรรมใหม่ในภาคเศรษฐกิจ ลดภาระงบประมาณระยะยาว และรักษาความสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศในโลกที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน

อ้างอิง

ผู้เขียน

Picture of ACU PAY Thailand

ACU PAY Thailand

ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่