fbpx
Search
Close this search box.

IMF คาดเศรษฐกิจฟิลิปปินส์-เวียดนาม แซงไทยในอีก 4 ปี

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยอาจสูญเสียตำแหน่งทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของอาเซียนให้กับฟิลิปปินส์และเวียดนามในอีก 4 ปีข้างหน้า ข้อมูลเหล่านี้สร้างความตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูปและปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในภูมิภาค

ตามรายงานของ IMF คาดการณ์ว่าในปี 2571 ขนาดเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์จะสูงถึง 649,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามจะมี GDP อยู่ที่ 629,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยจะร่วงลงมาอยู่อันดับ 4 ด้วย GDP ที่ 624,000 ล้านดอลลาร์ การเติบโตเฉลี่ยของไทยในช่วงเวลานั้นจะอยู่ที่ 2.69% ซึ่งต่ำกว่าฟิลิปปินส์ที่มีอัตราการเติบโตที่ 6.34% และเวียดนามที่เติบโตที่ 5.75%

ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ขนาดเศรษฐกิจของไทยยังคงถูกวัดไว้ที่ประมาณ 529,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่อินโดนีเซียยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วย GDP สูงถึง 1.40 ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 4.96% ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน

การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในปี 2569 ซึ่งอัตราการเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 2.57% ขณะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามมีอัตราการเติบโตสูงถึง 6.25% และ 6.01% ตามลำดับ แน่นอนว่าเมื่อประเทศคู่แข่งสามารถเติบโตได้มากกว่าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยเริ่มมีความเสี่ยงที่จะถูกแซงหน้าในด้านขนาดเศรษฐกิจ

เมื่อเข้าสู่ปี 2570 ไทยอาจยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้ แต่ด้วยการเติบโตที่ช้ากว่า ทำให้ฟิลิปปินส์ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว อัตราการเติบโตของไทยอยู่ที่ 2.75% ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของฟิลิปปินส์ที่สูงถึง 6.33% นอกจากนี้ การคาดการณ์ระยะยาวจากรายงานของ IMF ยังแสดงให้เห็นว่า หากไทยไม่สามารถปรับปรุงเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากกว่านี้ ช่องว่างในด้านขนาดเศรษฐกิจจะถูกแคบลงเรื่อยๆ และอาจถูกฟิลิปปินส์และเวียดนามแซงหน้าในที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์และเวียดนามได้รับแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ความเป็นศูนย์กลางการผลิต และนโยบายการขยายตัวที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายในการพัฒนาอย่างมาก เช่น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย และภาระหนี้ที่สูง

ในด้านการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น ประเทศไทยยังมีศักยภาพที่ดีในภาคการท่องเที่ยวและการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ แต่หากไม่มีการปรับปรุงและพัฒนาการลงทุนในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ก็อาจส่งผลให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

จากการเปรียบเทียบข้อมูลจากกลุ่ม Angsana Council และ Bain & Company แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะเฉลี่ย 5.1% โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะมีการเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ เวียดนามจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 6.6% ขณะที่ไทยจะมีอัตราการเติบโตเพียง 2.8% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในอนาคตของเศรษฐกิจไทย

สรุปได้ว่าขณะนี้ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาทักษะของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยต้องให้ความสำคัญในระยะต่อไป หากไทยต้องการที่จะไม่เพียงแค่รักษาตำแหน่งในอาเซียน แต่ยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ผู้เขียน

Picture of ACU PAY Thailand

ACU PAY Thailand

ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่