fbpx
Search
Close this search box.

คนละครึ่งพลัส เฟส 2″ กับพายุหมุนทางเศรษฐกิจ: กระตุ้นการใช้จ่ายปลายปี

คนละครึ่งพลัส, เฟส 2, กระตุ้นการใช้จ่าย, เศรษฐกิจ, ปลายปี

         รัฐบาลไทยเตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 ด้วยการเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาอย่างมีกลไกเพื่อสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

อัปเดตโครงการ: เงื่อนไขใหม่และเงินสะพัด

          โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 พบว่ามีร้านค้าเข้าร่วมแล้วกว่า 968,692 ร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิ์ 1.65 ล้านคน ทำให้เกิดเงินสะพัดในระบบไปแล้วกว่า 54,132 ล้านบาท

          สำหรับผู้ที่ไม่ทันการลงทะเบียนในเฟสแรก ยังมีโอกาสใน “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในต้นเดือนธันวาคม 2568 แม้ว่าจะมีการยุบสภาก่อนกำหนดก็ตาม

รายละเอียดสำคัญของโครงการ:

  • สิทธิ์ที่ได้รับ: ผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐรวม 4,000 บาท
  • คุณสมบัติ: ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุ 16 ปีขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน มีบัตรประจำตัวประชาชน และ ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง
  • ช่วงเวลาใช้สิทธิ์: คาดว่าประชาชนที่ลงทะเบียนเฟส 2 จะเริ่มใช้จ่ายได้ในช่วงเดือนมกราคม 2569

ก้าวใหม่สู่ความยั่งยืน: การเชื่อมโยงร้านค้า

          สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ มติของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่เห็นชอบให้มีการเชื่อมโยงร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ทั้งหมดเข้ากับ ระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

มาตรการนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้ร้านค้า เนื่องจาก:

  1. เพิ่มทางเลือก: แก้ปัญหาผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีร้านค้าให้เลือกใช้น้อยเกินไป
  2. เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง: ร้านค้าที่ผ่านระบบ “คนละครึ่ง” มีมาตรฐานสูงและกระจายอยู่ทั่วประเทศ จะสามารถขายสินค้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการได้ทันที ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับร้านค้า

3 ประการที่ทำให้โครงการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า คือ:

  1. กฎเกณฑ์ที่สร้างส่วนร่วม (Mandatory Co-Payment): เงื่อนไขที่รัฐออกให้ครึ่งหนึ่ง (2,000 บาท) และประชาชนต้องออกเองอีกครึ่งหนึ่ง (2,000 บาท) บังคับให้ประชาชนต้อง ใช้จ่ายจริง ในการบริโภคสินค้าและบริการ ต่างจากการแจกเงินที่นำไปชำระหนี้ได้ทันที
  2. ความคุ้นชินในการใช้งาน: โครงการนี้ดำเนินการมาแล้วหลายรอบ ทำให้ผู้ได้รับสิทธิ์คุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” ทำให้การใช้จ่ายเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
  3. เป้าหมายการใช้จ่ายและระยะเวลาจำกัด: เงินที่ได้รับมักถูกนำไปใช้กับ ของกินและค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ภายในระยะเวลาจำกัด (เช่น 2 เดือน) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ประชาชนทุกคนมีอยู่แล้ว

โครงการ "คนละครึ่ง" จะสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเป็น 2 รอบ:

รอบที่ 1: การใช้จ่ายที่เกิดขึ้น “แน่นอน” (ตัวคูณ 1 เท่า)

  • เงินที่ถูกหมุนเวียน: เป็นเงินที่ประชาชนต้องใช้จ่ายเพื่อการบริโภคพื้นฐาน (เช่น อาหาร) ซึ่งเป็นสิ่งที่คนต้องจ่ายอยู่แล้ว โครงการนี้จึงรับประกันการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ในวงเงินที่กำหนด

รอบที่ 2: เงิน “ออม” ที่ถูกนำไปใช้ต่อ (ตัวคูณ 0.2 – 0.4 เท่า)

  • เงินที่ถูกหมุนเวียน: มาจาก เงินที่ประชาชนประหยัดได้ จากการที่รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง (Savings from Co-payment) เงินส่วนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกนำไปใช้จ่ายต่อ ซึ่งจะสร้างแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก 0.2 ถึง 0.4 เท่า

สรุป

          ด้วยการออกแบบอย่างมีชั้นเชิงที่ผูกเงินช่วยเหลือไว้กับการบริโภคจริงในชีวิตประจำวัน และมีกลไกที่จำกัดโอกาสในการนำเงินไปใช้ชำระหนี้ในทันที โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณสำคัญที่เงินมหาศาลจากภาครัฐจะเข้าสู่ระบบการใช้จ่ายจริงอย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และต่อเนื่องไปยังปี 2569 ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ผู้เขียน

Picture of ACU PAY Thailand

ACU PAY Thailand

ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่