สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกไปแล้วกว่า 6.3 ล้านคน[1] มาตรการต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศนำมาใช้บริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์ประเทศแบบโควิดเป็นศูนย์ การล็อกดาวน์แบบผ่อนคลาย การจำกัดเคอร์ฟิว การจำกัดการเดินทางออกนอกพื้นที่ ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของคนทั่วโลกแตกต่างกันไป จนเมื่อคนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น สถานการณ์ความรุนแรงของโรคเริ่มคลี่คลาย ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจึงเริ่มทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
จากการวิเคราะห์ของ Statista Q บริษัทวิจัยตลาดในเยอรมนี ชี้ว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2565 จะกลับมามากถึง 80% ของการท่องเที่ยวก่อนเกิดโควิด 19 และประมาณการว่าในปี 2565 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 353 ล้านยูโร ซึ่งสูงกว่าปี 2564 ที่มีมูลค่า 260 ล้านยูโร โดยคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567
ปีที่ผ่านมาหลายประเทศทั่วโลกเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เช่น กรีซ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสหรัฐอเมริกา โดยความพร้อมของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับศักยภาพในการจัดการกับโควิด 19 และการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน สำหรับปี 2565 แม้จะเริ่มด้วยการระบาดของโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่ต้นปี แต่ก็มีหลายประเทศที่ทยอยเปิดบ้านต้อนรับชาวต่างชาติ
ประเทศแรกที่น่าสนใจคือออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีนโยบายควบคุมโควิด 19 ที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมาตลอดสองปี ได้ประกาศเปิดประเทศต้อนรับผู้ถือวีซาออสเตรเลียทุกคนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ครบ 2 โดสแล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 โดยรัฐบาลออสเตรเลียพยายามดึงนักท่องเที่ยวกลับมาด้วยการเปิดตัวแคมเปญโฆษณามูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (28.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาให้บริการ แม้จะยังมีจำนวนเที่ยวบินน้อยกว่าก่อนเกิดโรคระบาด
ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเข้าประเทศได้แบบไม่ต้องกักตัวและไม่ต้องตรวจเชื้อตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป ต่างกันตรงที่มาเลเซียกำหนดให้ผู้เดินทางจะต้องทำประกันภัยการเดินทางครอบคลุมการรักษาโควิด 19 ไม่ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐด้วย ส่วนสิงคโปร์ยังไม่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบโดสเดินทางเข้าประเทศ
ประเทศยอดฮิตอีกแห่งคือเกาหลีใต้ ประกาศเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศที่ฉีดวัคซีนตามที่กำหนดแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขอวีซาและไม่ต้องกักตัว
ต่อด้วยประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกาศเพิ่มเพดานรับคนเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 10,000 คนต่อวัน เป็น 20,000 คนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 และตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 เปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสีน้ำเงิน[2] ที่มาเป็นกลุ่มทัวร์และมีไกด์ เพื่อจะได้ทราบถึงเส้นทางและจำนวนนักท่องเที่ยวที่แน่นอน โดยจะต้องทำประกันให้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลโควิด 19 และต้องฉีดวัคซีนครบ 3 โดสด้วย ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะรวมอยู่ในโควตาขาเข้า 20,000 คนต่อวันด้วยเช่นกัน และคาดว่าการเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ใช่กลุ่มทัวร์น่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร เนื่องจากยังคงมีความกังวลถึงการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด 19 อีกครั้ง
ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ก็ประกาศขยับเวลาเปิดประเทศให้เร็วขึ้น จากเดิมที่วางแผนไว้เดือนตุลาคม 2565 แต่เมื่อพิจารณาประเด็นการขาดแรงงานทักษะทั่วประเทศอย่างฉับพลัน รัฐบาลจึงตัดสินใจเลื่อนการเปิดประเทศเป็นเดือนกรกฎาคม 2565 โดยเปิดรับคนที่มีวีซาทุกประเภทที่ได้รับวัคซีนแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว
สุดท้ายคือประเทศไทยที่รัฐบาลประกาศยกเลิกระบบ Test & Go และเริ่มต้นเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบสำหรับผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวกว่า 4 แสนคนเดินทางเข้าไทยในเดือนพฤษภาคม และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นอย่างน้อยเดือนละ 9 แสนคนหลังจากประกาศยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 และตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยว 5-15 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้
อีกประเด็นที่นักท่องเที่ยวต้องรู้คือการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ผ่อนปรนการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะบ้างแล้ว เนื่องจากประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น เช่น นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ อิตาลี อังกฤษ เดนมาร์ก (ยกเว้นการขนส่งสาธารณะ) ฝรั่งเศส (ยกเว้นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน) เกาหลีใต้ (ยกเว้นในสถานที่ที่รวมตัวกันเกิน 50 คน) สิงคโปร์ มาเลเซียและกัมพูชา (ยกเว้นภายในอาคารหรือระบบขนส่งมวลชน) และประเทศไทย (ยกเว้นสถานที่แออัด)
แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่มีการถกเถียงกันมาก ก็ได้มีการออกมาประกาศยกเลิกกฎการสวมหน้ากากอนามัยระหว่างการใช้ระบบขนส่งสาธารณะโดยผู้พิพากษารัฐบาลกลางแห่งรัฐฟลอริดา ทำให้สายการบินหลายสาย เช่น Delta, American, Southwest, Alaska และ JetBlue สนามบิน ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงบริษัทบริการเรียกรถรับส่งผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Uber และ Lyft ประกาศยกเลิกการบังคับใส่หน้ากากอนามัยแล้ว
อย่างไรก็ดี ประเทศที่ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่แม้จะเปิดประเทศแล้ว คือ ญี่ปุ่น โดยกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยวจะต้องมีผู้ติดตามหรือมัคคุเทศก์จากบริษัทนำเที่ยวตลอดเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่น เพื่อคอยดูแลให้นักท่องเที่ยวสวมหน้ากากอนามัย และอีกประเทศที่ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ คือมาเลเซีย
[1] ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 จากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO)
[2] ญี่ปุ่นแบ่งนักท่องเที่ยวตามระดับความเสี่ยงออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีแดง (เสี่ยงสูง) เช่น แอลเบเนีย ฟีจี ปากีสถาน ซึ่งต้องมีการตรวจเชื้อและกักตัว กลุ่มสีเหลือง (เสี่ยงปานกลาง) เช่น ภูฏาน คิวบา บรูไน อินเดีย เวียดนาม โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ยี่ห้อที่ญี่ปุ่นยอมรับครบ 3 โดสจะไม่ต้องตรวจเชื้อและไม่ต้องกักตัว และกลุ่มสีน้ำเงิน (เสี่ยงต่ำ) เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งไม่ต้องตรวจเชื้อและไม่ต้องกักตัว
[3] ข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาด้านแรงงานอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ของ TDRI
ที่มา : bot
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional" |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other". |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |