fbpx
Search
Close this search box.

ได้อั่งเปา เอาไปทำอะไรดี 4 ไอเดีย วิธีต่อยอด

          ได้อั่งเปามาทั้งที ก็ไม่อยากให้สูญเปล่า วันนี้ ACU PAY มี 4 วิธีมาแนะนำ เผื่อเป็นไอเดียให้กับเพื่อนๆในการต่อยอดเงินจากอั่งเปา มีวิธีไหนบ้างลองไปดูกันเลย

1.ซื้อกองทุน

     ก่อนจะลงทุนเราต้องรู้และเลือกกองทุนก่อนว่ากองทุนไหนดีไม่ดี เหมาะกับเราหรือไม่ วันนี้มีหลักการง่ายๆ มาแนะนำเพื่อนๆกันครับ ก่อนอื่นลองถามตัวเองด้วยคำถาม 3 ข้อนี้ให้ชัดเจนก่อนนะครับ

  • วัตถุประสงค์ในการลงทุนของเราคืออะไร?
  • ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?
  • มีระยะเวลาลงทุนนานเท่าไหร่?

     เพราะการตอบคำถามข้างต้น จะเป็นตัวช่วยให้เรากำหนดทิศทางการลงทุนและเลือกกองทุนที่เหมาะกับตัวเราได้เบื้องต้น ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการลงทุนระยะยาว รับความเสี่ยงได้ และคาดหวังผลตอบแทนสูง กองทุนหุ้นอาจเป็นคำตอบ แต่หากเรามีระยะเวลาลงทุนสั้นๆ ยอมรับการขาดทุนแทบจะไม่ได้เลย กองทุนตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ก็อาจจะเหมาะมากกว่า เพราะความเสี่ยงต่ำ แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนก็ต่ำด้วยเช่นกันหรือถ้าคุณกำลังมองหาช่องทางประหยัดภาษีอยู่ ก็ต้องแฝดพี่น้องคู่นี้ “กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)”

      และ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” รับรองช่วยประหยัดภาษีได้แน่นอนแต่เหนือสิ่งอื่นใด โจทย์และความชื่นชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่า… เลือกลงทุนในแบบที่คุณพอใจก็แล้วกัน เพราะนั่นคือเงินของคุณ คุณจึงต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดทีนี้ก็ถึงเวลา… เลือกกองทุนกันจริงๆ เสียที เราลองมาดู

เทคนิคง่ายๆ ในการเลือกกองทุนที่ “ใช่” สไตล์ "S-R-F"

แล้ว S-R-F คืออะไรลองมาดูกันครับ

S : Style 

     กองทุนที่ “ใช่” ต้องมีนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับเรา เป็นแบบ Passive หรือ Active เวลาจะเลือกกองทุนสักกอง เราต้องพิจารณานโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น ต้องรู้ว่า… กองทุนที่เราสนใจเป็นกองทุนประเภทไหน นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร เช่น หุ้นขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นในประเทศ หรือหุ้นต่างประเทศ ฯลฯ สัดส่วนเท่าไหร่ ความเสี่ยงของกองทุนมีอะไรบ้าง จ่ายปันผลหรือไม่ ซื้อขั้นต่ำต้องใช้เงินเท่าไหร่ อายุกองทุนผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแค่ไหน ศึกษาให้ละเอียด เพื่อจะได้เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของเรา

R : Return

      กองทุนที่ “ใช่” ต้องมีผลตอบแทนสม่ำเสมอพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี 5 ปี และตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เพื่อดูความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) และกองทุนอื่นๆ ที่มีนโยบายการลงทุนแบบเดียวกัน โดยเลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานหรือให้อัตราผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน วิธีดูง่ายๆ คือ ดูว่าหากกองทุนทำผลงานได้สม่ำเสมอ ติดอยู่อันดับต้นๆ ในหลายช่วงเวลา เช่น 6 เดือน 1 ปี และ 3 ปี แปลว่า… กองทุนกองนี้ก็น่าจะมีโอกาสหรือมีศักยภาพที่จะทำผลงานได้ดีต่อไปในอนาคต

F : Fee 

     กองทุนที่ “ใช่” ต้องมีค่าธรรมเนียมกองทุนต่ำ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าใช้จ่ายที่กองทุนเรียกเก็บ เป็นอีกส่วนสำคัญที่ต้องเช็คให้ดี เพราะหากค่าธรรมเนียมสูงเกินไป ก็หมายถึงผลตอบแทนที่เราได้จะลดลงด้วย ดังนั้น เราจึงควรเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ที่มีลักษณะและนโยบายการลงทุนคล้ายกัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากเกินความจำเป็นทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สามารถหาดูได้จาก “หนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน” และ “Fund Fact Sheet” ที่เปรียบเสมือนเป็น “คัมภีร์” บอกรายละเอียดทุกอย่างของกองทุน ซึ่งนักลงทุนอย่างเรา “ห้ามพลาด” ที่จะอ่านเพื่อทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน แต่การเลือกกองทุนรวมก็ไม่ได้มีหลักตายตัว และเชื่อว่าไม่มีกองทุนไหนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอตลอดไป เราจึงควรพิจารณา “ปัจจัยอื่นๆ” ประกอบด้วย เช่น ขนาดกองทุน กลยุทธ์การลงทุน ค่าสถิติที่แสดงความเสี่ยงของกองทุน พอร์ตการลงทุน รวมไปถึงบริการเสริมด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถหรืออำนวยความสะดวกในการลงทุน เช่น บริการซื้อขายกองทุนได้หลายช่องทาง ให้คำปรึกษาผ่าน Call Center หรือมีโปรแกรมช่วยวางแผนภาษี เป็นต้น

หากผ่านเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ จะรอช้าอะไร… มาเริ่มลงทุนในกองทุนกันเลย!!! >> คลิกที่นี่

2.ซื้อหุ้น

     ก่อนลงทุนวันนี้จะมาเเนะนำหนึ่งเทคนิคหรือหลักการในการเลือกหุ้นต่างๆ นักลงทุนรายย่อยที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้น มักจะมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นทันทีที่เปิดพอร์ต… จะเลือกหุ้นยังไง??? ซึ่งการตั้งคำถามแบบนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดี แสดงว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่อยากจะเลือก อยากวิเคราะห์ อยากคัดสรรหุ้น ไม่ลงทุนตามข่าวหรือซื้อมั่วๆ ไปตามข่าวสารที่ได้รับ

คำถามต่อไปคือ…เทคนิคการเลือกหุ้น ทำยังไง อะไรบ้าง ? เทคนิคการเลือกหุ้น 2 แบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน คือ… 

1. การวิเคราะห์แบบ Top Down ที่แปลว่าวิเคราะห์จากบนลงล่าง

     มองจากภาพใหญ่ที่สุดลงมาที่ภาพเล็ก (ตัวหุ้น) หรือการวิเคราะห์การลงทุนโดยพิจารณาจากเศรษฐกิจโดยรวมก่อน วิธีนี้จัดว่าถูกต้องตามทฤษฎี นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนสถาบันใช้กันเยอะ 

ตัวอย่างเช่น นาย A สนใจที่จะลงทุนหุ้น และมองแบบ Top Down อาจเริ่มจาก…

     ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบและเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ธุรกิจ วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม โดยเลือกหุ้นที่มีเทรนด์ธุรกิจสนับสนุน ตัวอย่างเช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ที่ทำให้เกิดการปิดเมือง ปิดประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค หลายธุรกิจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จนต้องลดพนักงาน เลิกจ้าง หรือปิดตัวเองลง ผู้คนไม่จำเป็นก็ไม่ออกนอกบ้าน

เช่น ในยุคที่เกิดโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการทำงานจากบ้าน คนหันมาใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีการซื้อประกันสุขภาพและประกันโควิด-19 อย่างมหาศาล ธุรกิจประเภท “เทคโนโลยี” และ “ประกัน” จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากเหตุการณ์นี้

ภาพสุดท้าย คือ การวิเคราะห์หุ้นรายตัว นำมาแกะรอยงบการเงิน วิเคราะห์ความน่าสนใจของหุ้นผ่านงบการเงินต่างๆ รวมทั้งลองประเมินมูลค่าหุ้น หาราคาเข้าซื้อเก็บไว้ในใจ จนเมื่อได้ตัวบริษัทที่เราพอใจ ในราคาที่เหมาะสม ก็เริ่มลงทุนซื้อหุ้นได้

2.การวิเคราะห์แบบ Bottom Up ที่แปลว่า วิเคราะห์จากล่างขึ้นบน

     คือ มองจากตัวหุ้นที่เราปิ๊งเลย เช่น ปิ๊ง หุ้น B เพราะหุ้นตัวนี้ มีชื่อชั้นดี กิจการทั้งมั่นคงและเติบโต แต่มาเจอข่าวร้ายระยะสั้น ทำให้ราคาปรับตัวลงเร็วมาก ทั้งที่ค่าพื้นฐานอย่าง ROE, Profit Margin และ Dividend Yield ยังดีเยี่ยม ทำไมนะ??? เราก็หยิบมาวิเคราะห์งบการเงินว่าที่ผ่านมาดีขึ้นหรือแย่ลง ดูคู่แข่ง ผู้บริหาร อุตสาหกรรม เทรนด์ เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศพูดง่ายๆ คือ มองจากภาพย่อยของตัวหุ้น ขึ้นไปหาภาพใหญ่ ถ้าราคาหุ้นตกลงไปมากกว่าพื้นฐานที่เราวิเคราะห์เจาะลึก แสดงว่าเรากำลังเห็นโอกาส เมื่อวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วก็ลงมือซื้อหุ้นได้ การวิเคราะห์หุ้น ไม่ว่าจะเป็น Top Down หรือ Bottom Up ต่างก็เป็นเทคนิคการวิเคราะห์หุ้นสายปัจจัยพื้นฐานที่มีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งสองวิธีมองปัจจัยที่หลากหลาย เพียงแต่วิธีหนึ่งมองจากภาพใหญ่ไปหาตัวหุ้น อีกวิธีมองจากตัวหุ้นไปหาภาพใหญ่

ถนัด เข้าใจ หรือชอบวิธีไหน เพื่อนลองเลือกใช้ได้เลยนะครับ

 ขอแค่นักลงทุนรู้จักวิเคราะห์ก่อนซื้อหุ้นเป็นพอ ทราบดังนี้แล้ว… นำมาวิเคราะห์หุ้นจริงในตลาดเลย จะช่วยพัฒนาทักษะการวิเคราะห์หุ้น นำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

3.คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)

     การเริ่มเทรดคริปโตเคอเรนซี่ ก็จะคล้ายๆ กับการเริ่มต้นลงทุนในหุ้นนั่นแหละ เพราะในการซื้อ-ขายเหรียญคริปโตจะต้องดำเนินการผ่านโบรกเกอร์หรือตัวกลางในการซื้อ-ขายเหรียญบนตลาดคริปโตเคอร์เรนซีการเปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายเงินดิจิตอลสามารถทำบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่การสมัคร การยืนยันตัวเอง (KYC) รวมถึงการโอนเงินเข้าออก ปัจจุบันที่การลงทุนเหรียญคริปโตมีความนิยมมากขึ้น หลายๆ เว็บไซต์มีแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนทำให้การเริ่มต้นเปิดพอร์ตลงทุนไม่ใช่เรื่องยาก 

การลงทุนกับคริปโต เริ่มเล่นยังไงดี

ก่อนจะรู้ว่า คริปโตเคอเรนซี่ เล่นยังไง? ทำกำไรได้อย่างไร? ลองมารู้จักวิธีการเลือกโบรกเกอร์เปิดพอร์ตลงทุนในเหรียญคริปโตกันก่อน โดยเลือกจาก

1.เลือกโบรกที่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.

     การเลือกโบรกเทรดคริปโตก็เหมือนการเลือกใครสักคนมาดูแลเงินลงทุนของคุณ และเพื่อความปลอดภัยและมั่นใจควรเลือกลงทุนกับกระดานเทรดที่ได้รับใบอนุญาตในการทำธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต. นอกจากนี้ยังควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยเช่น การบริการ หรือข้อมูลในเชิงคุณภาพด้านอื่นๆ วิธีการใช้งาน ฯลฯ เพื่อให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด

2.กระดานเทรดที่เลือกมีสกุลเงินที่คุณต้องการเทรดหรือไม่

     นักลงทุนที่มีพื้นฐานบ้างจะรู้ว่า สกุลเงินดิจิตอล นั้นมีมากมายหลายพันสกุลเงิน ซึ่งแต่ละกระดานเทรกก็อาจจะมีหรือไม่มีเหรียญสกุลที่เราสนใจลงทุนก็เป็นได้ ตรงนี้ต้องเช็คดูให้แน่ใจเสียก่อนก็จะดีกว่า โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อเหรียญได้จากหน้าเว็บเทรดทุกที่แม้จะยังไม่สมัครเปิดบัญชีของที่นั่นก็ตาม 

3.ดูเรื่องความเสถียรของแพลทฟอร์ม และการบริการ

     อย่างที่บอกไปแล้วว่าการเทรดคริปโตสามารถทำได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ดังนั้นความสเถียรของแพลทฟอร์มที่ให้บริการจึงสำคัญ เว็บต้องไม่ล่มบ่อยไม่งั้นก็จะพลอยทำนักลงทุนเสียโอกาสในการทำกำไรได้ นอกจากนี้ก็จะมีในส่วนของบริการต่างๆ เช่น การติดต่อกับแพลทฟอร์มกรณีมีปัญหาติดขัดสามารถทำได้รวดเร็วไหม? เป็นต้น

4.ความสะดวก รวดเร็วในการฝาก-ถอนเงิน

     ความรวดเร็วเป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากของการเทรดคริปโต เลือกโบรกเกอร์ที่สามารถให้บริการฝาก-ถอนเงินที่รวดเร็ว ทันใจ นอกจากจะช่วยให้นักลงทุนวางแผนการเก็งกำไรเหรียญคริปโตได้ง่ายขึ้น ยังช่วยให้นักลงทุนมีสภาพคล่องที่ดีมากขึ้นได้อีกด้วย

5.การให้บริการข่าวสารต่างๆ

     ข่าวสารต่างๆ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจลงทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ ด้วยการรับข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอต่อการตัดสินใจ ซึ่งนักลงทุนก็ไม่ควรมองข้ามบริการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่แต่ละแพลทฟอร์มมีให้ด้วยอีกหนึ่งปัจจัย

6.ศึกษาข้อมูลของเหรียญนั้นๆ เพื่อให้เราเข้าใจ

      วิเคราะห์การเติบโตของเหรียญนั้นๆในอนาคต เช่น  การที่เราซื้อหุ้น พื้นฐานที่เราต้องศึกษาเลยก็คือ บริษัท เช่นเดียวกันกับเหรียญ เราก็ต้องรู้ข้อมูลของเหรียญนั้นๆก่อนที่จะตัดสินใจ เช่น Litecoin เป็น Cryptocurrency ที่สร้างขึ้นในปี 2011 มีความคล้ายกับ Bitcoin อย่างมากในทางเทคนิค แต่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขบางจุดที่อาจจะยังมีความบกพร่องของบิทคอยน์ โดยออกมาแบบให้ 1) มีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง 2) มีความเสถียรในการใช้งานมากกว่า การกระจายอำนาจที่มากยิ่งขึ้นจึงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และ 3) มีความรวดเร็วในการประมวลผลธุรกรรมมากขึ้นด้วย

4.ซื้อของสะสม

1.ขอความช่วยเหลือจากมือเก๋าหรือผู้คร่ำหวอดในวงการ

     นักสะสมของโบราณมือเก๋าจะช่วยแนะนำหนทางการเป็นมืออาชีพของคุณได้อย่างดี เพียงแต่ว่าคุณควรคบคนที่มีน้ำใจ มีนิสัยใจคอใช้ได้ด้วยนะ เพราะไม่อย่างนั้นคุณอาจโดนเขาใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้าได้ และเมื่อคุณขอความรู้จากเขาเสร็จแล้วก็อย่าลืมตอบแทนน้ำใจด้วยการเลี้ยงข้าว หรือซื้อขนมนมเนยติดไม้ติดมือมาฝากเขาบ้าง เพราะโลกเราจะน่าอยู่ขึ้นถ้าเราช่วยเหลือและมีน้ำใจแบ่งปันซึ่งกันและกัน

2.ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของโบราณชิ้นนั้นๆ

     ถ้าคุณคิดจะเดินทางมาทางนี้แล้วต้องทุ่มให้สุดตัว นอกจากขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีประสบการณ์แล้ว คุณเองก็ต้องพยายามรีบถีบตัวเองให้เก่งเร็วๆ โดยการศึกษาข้อมูลเชิงลึก ซึ่งข้อมูลเชิงลึกนี่คุณสามารถค้นหามันได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นค้นคว้าหาข้อมูลใน Internet ,  หาหนังสือมาอ่าน , ขอแบ่งปันความรู้จากมือพระกาฬ ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่ว่าจะคลาน เดิน วิ่ง คุณจะได้เลื่อนยศเป็นมือเก๋าไวๆ

3.เข้ากลุ่ม

     กลุ่มในที่นี้อาจเป็นกลุ่มในสังคมจริงๆก็ได้ หรือจะเป็นกลุ่มบนโลก Internet ก็ได้ เพราะการเข้ากลุ่มนอกจากเราจะได้พบปะกับคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกันแล้ว บางทีเรายังได้ข้อมูลบางอย่างที่เขาคุยกันก็ได้

4.ตามหาแหล่งซื้อ – ขายของเก่า

     ของเก่าสมัยนี้บางทีก็มีผู้ไม่ประสงค์ดีทำเลียนแบบขึ้นมาแล้วนำมาหลอกขายกันก็มี แต่เราจะเป็นมือใหม่แบบชาญฉลาดเราจะไม่ยอมถูกหลอกเด็ดขาด คุณก็ต้องไปทำการสืบค้นว่าไอวัตถุโบราณชิ้นนี้มันมีวางขายฉุกชุมมากบริเวณไหน แล้วคุณก็ออกไปตามหาได้เลย แต่ว่าบางครั้งของโบราณเหล่านี้มันก็เป็นคนเลือกเจ้าของเองนะ คุณอาจบังเอิญไปเจอมันวางอยู่ที่ร้านเปิดท้ายขายของตามตลาดนัดก็ได้ใครจะไปรู้

5.ต้องดูแลรักษาให้เป็น

      เมื่อคุณคิดจะเป็นนักสะสมของเก่าแล้ว ก็ต้องรู้จักดูแลของให้เป็นด้วย ไม่ใช่เอาผ้าขี้ริ้วไปชุบน้ำมาเช็ดๆถูๆ เอาแปรงซักผ้ามาขัด ได้ทุกอย่างนะเออ ของอย่างเดียวกันแต่แค่คนล่ะวัสดุก็มีความแตกต่างกันมากแล้ว เพราะฉะนั้นคุณอย่าลืมศึกษาวิธีดูแลรักษาของโบราณให้อยู่กับเราไปนานๆด้วยนะ จะได้เข้าใกล้สู่ความเป็นมือโปรขึ้นมาอีกนิดนึงแล้วล่ะ

เพื่อนๆสามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่