Menu
เศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเผชิญกับความท้าทาย ทั้งผลกระทบจากโควิด-19 การฟื้นตัวที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้กำลังซื้อของประชาชนยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถเห็นผลได้จริง หนึ่งในมาตรการที่ได้รับความนิยมสูงและถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ โครงการคนละครึ่ง
เริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2563 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งรูปแบบการทำงานโครงการ คนละครึ่ง รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 150 บาทต่อวัน และรวมไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ โดยรัฐจะจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าสินค้า เช่น ซื้อของ 200 บาท รัฐช่วย 100 บาท ผู้ใช้จ่าย 100 บาท แต่หากเกิน 300 บาท รัฐช่วยสูงสุด 150 บาท ส่วนที่เหลือผู้ใช้ต้องจ่ายเอง โดนผู้เข้าร่วมต้องซื้อสินค้ากับร้านที่มีป้ายโครงการคนละครึ่ง ประโยชน์ของโครงการคือ ช่วยเพิ่มรายได้แก่ร้านค้ารายย่อย ดึงร้านค้าอิสระเข้าสู่ระบบภาษี และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 1.85 เท่า หรือราว 55,500 ล้านบาท
สถานการที่ผ่านมา เริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2563 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งรูปแบบการทำงานโครงการ คนละครึ่ง รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 150 บาทต่อวัน และรวมไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ โดยรัฐจะจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าสินค้า เช่น ซื้อของ 200 บาท รัฐช่วย 100 บาท ผู้ใช้จ่าย 100 บาท แต่หากเกิน 300 บาท รัฐช่วยสูงสุด 150 บาท ส่วนที่เหลือผู้ใช้ต้องจ่ายเอง โดนผู้เข้าร่วมต้องซื้อสินค้ากับร้านที่มีป้ายโครงการคนละครึ่ง ประโยชน์ของโครงการคือ ช่วยเพิ่มรายได้แก่ร้านค้ารายย่อย ดึงร้านค้าอิสระเข้าสู่ระบบภาษี และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 1.85 เท่า หรือราว 55,500 ล้านบาท
โครงการคนละครึ่งในยุคเดิม ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านตัวเลขงบประมาณโครงการตลอด 5 เฟส มีมูลค่ารวมกว่า 2.3 แสนล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายของประชาชน และเป็นเงินสมทบจากรัฐซึ่งสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มหาศาล และช่วยผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ ผลสำรวจความพึงพอใจจากประชาชนก็อยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากเป็นนโยบายที่ “จับต้องได้” และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามเม็ดเงินจำนวนมหาศาล เหล่านี้มาจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็น ภาระหนี้สาธารณะที่ต้องมีการบริหารจัดการในระยะยาว เป็นความสำเร็จที่มาพร้อมกับต้นทุนทางการคลังที่สูงเช่นกัน
เมื่อ 8 ก.ย. 2568 ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ออกมาเล่าว่า มีโอกาสที่โครงการ “คนละครึ่ง” จะกลับมาอีกครั้ง เพราะรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยอยากใช้มาตรการนี้มากระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน กระทรวงการคลังบอกว่าพร้อมมาก ซึ่งมีงบประมาณ 25,000 ล้านบาท ถ้าไม่พอ ก็สามารถดึงจากงบกลางมาเสริมได้อีก คาดว่าสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ตุลาคม 2568 ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมและยังมีแอป “เป๋าตัง” ก็กลับมาใช้ได้เลย ไม่ต้องยืนยันตัวตนใหม่ แต่ร้านค้าใหม่อาจต้องสมัครเพิ่ม ส่วนรายละเอียด เช่น ใครจะได้สิทธิ์ กำหนดวงเงินเท่าไหร่ ใช้ซื้ออะไรได้บ้าง ยังต้องรอรัฐบาลตัดสินใจอีกที
นายลวรณย้ำว่า อย่ามองแค่ผลว่าโครงการนี้จะช่วยดันจีดีพีได้มากหรือน้อย เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลจะใส่เงินเข้ามาเท่าไหร่ และให้สิทธิ์ใช้วันละกี่บาท แต่ยืนยันว่า กระทรวงการคลังพร้อมลุยทันทีถ้ามีสัญญาณจากรัฐบาล
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีแนวคิดที่จะปลุกโครงการ “คนละครึ่ง 2568” กลับมาใหม่ โดยมีไอเดียปรับเงื่อนไขเป็น 2 แบบคือ
นายอนุทินย้ำว่าที่ทำเพราะประชาชนได้รับประโยชน์ เราจะไปก็อปปี้ใครเราก็จะทำ โครงการดีๆจากรัฐบาลก่อน ก็สานต่อได้ อย่าง 30 บาทรักษาก็ต้องดำเนินต่อไป หรือคนละครึ่งก็เช่นกัน ด้านกระทรวงการคลัง มีความพร้อมที่จะทำโครงการคนละครึ่งได้ทันที หากมีนโยบายออกมาชัดเจน และต้องไม่ผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย งบประมาณ และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง ถ้ารัฐบาลไฟเขียวก็เดินหน้าได้ทันที และมั่นใจว่า ทันภายใน 4 เดือนแน่นอน
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY
