เวลาประกาศอัตราเงินเฟ้อเรามักจะได้ยิน 2 คำนี้ว่าHeadline Inflation และ Core Inflation หรือเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐาน แล้วมันต่างกันอย่างไรมาดูกันครับ
เพราะการเข้าใจผลกระทบของเงินเฟ้อ จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการใช้เงิน ผู้ผลิตสามารถวางแผนการลงทุน และขยายกิจการได้ ถ้าเราเป็นคนทำงานเราก็จะสามารถที่จะวางแผนทางการเงินได้
เพราะอัตราเงินเฟ้อ สามารถบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของภาวะของมูลค่าเงินเรา และสิ่งของต่างๆได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย
จึงทำให้คนไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการฝากเงิน และไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และหุ้น เป็นต้น ซึ่งก็ต้องแบกรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
การพัฒนาศักยภาพการผลิตของประเทศอาจชะลอตัวลง เนื่องจากประชาชนมีอำนาจในการซื้อน้อยลง จึงลดการใช้จ่าย และผู้ผลิตก็ไม่สามารถขายสินค้าเพิ่มได้
หากอัตราเงินเฟ้อ อยู่กับเรานาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในภาคการเงินของประเทศ และอาจเกิดปัญหาที่ประชาชนต้องกู้หนี้ยืมสินมากขึ้น จนอาจเกิดปัญหาฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้
เป็นการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าที่คิดมาจากสินค้าทุกกลุ่ม โดยดัชนีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อประเภทนี้เรียกว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป สินค้าที่ถูกคำนวณมีดังนี้
เป็นการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเหมือนกับ Headline Inflation แต่จะไม่รวมสินค้า ดังนี้
สรุปความแตกต่างระหว่าง Headline Inflation อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และ Core Inflation อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน สิ่งที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ เงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมราคาอาหารสด และราคาพลังงาน เนื่องจากมีสาเหตุหลักมากจาก ราคาที่ผันผวนสูง เพราะปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาจะมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ
ดังนั้น หากเราได้ยินคำว่าเงินเฟ้อพื้นฐานแปลว่าเป็นอัตราที่ไม่ได้รวมราคาสินค้า กลุ่มพลังงาน และอาหารสดนั่นเอง