ทำไม “ธุรกิจมูเตลู” ถึงมาแรง

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่คู่กับคนไทย คือการมู หรือการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการใช้ชีวิต ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเกี่ยวกับสายมูเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันธุรกิจสายมูนี้มีการจดทะเบียนทั้งหมด 134 ราย ด้วยทุนจดทะเบียนรวม 135.89 ล้านบาท แล้วทำไมธุรกิจสายมูนี้ถึงยังมาแรงแซงหน้าทุกธุรกิจ ลองมาสำรวจเหตุผลด้วยกันเลย

‘ธุรกิจมูเตลู’ เมื่อเปลี่ยนความศรัทธาเป็นสินค้าและบริการ

“สายมูเตลู” ที่นับวันกลายเป็นที่พึ่งทางใจ ไม่ต่างอะไรจากการไหว้พระทำบุญ นั่นก็เพราะ “ความเคว้งคว้าง” และ “ความจน” ทำให้เกิดการขวนขวายหาที่ยึดเกาะนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด สถาบันวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย

ได้มีการเปิดผลสำรวจ “MY GEN MY MU” เจาะลึกพฤติกรรมการ “มูเตลู” ของคนไทยทุกวัย จากคำตอบของผู้เข้าร่วมทำแบบทดสอบกว่า 1,200 คน ตั้งแต่ Gen X Y Z พบว่า 88% ของคนไทย เชื่อเรื่องการมู และกว่า 52% ของคนไทยให้นิยามการมูเตลูว่าเป็น ‘เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ’ โดยเรื่องมูที่เน้นมากที่สุดคือเงินและโชคลาภ

ซึ่งกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจสายมู คือ การนำศาสตร์สายมูมาผสมผสานกับการตลาด เรียกว่า มูเก็ตติ้ง (Muketing) เพื่อจะมาดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจในธุรกิจนั้นมากยิ่งขึ้น โดยอาจผ่านอินฟลูเอนเซอร์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ความเชื่อ หรือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์ ความรู้สึกกับผู้บริโภค

ยกตัวอย่างเช่น เครื่องแต่งกาย กระเป๋า ของใช้ของตกแต่งบ้าน ที่นำสีมงคลตามวันเกิดเดือนเกิดมาเป็นจุดขาย เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น สร้อยข้อมือ ที่มีการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าง พระพิฆเนศ ท้าวเวสสุวรรณ และหินมงคลต่าง ๆ มาออกแบบดีไซน์ในรูปแบบแฟชั่น หรือแม้แต่วอลล์เปเปอร์หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือรูปไพ่ ยิ่งกว่านั้นยังมีเครื่องสำอาง ที่นำทองคำปลุกเสก หรือว่านที่มีความเชื่อว่าเสริมสิริมงคล และหมายเลขโทรศัพท์มงคล

รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ได้นำศาสตร์ความเชื่อความศรัทธามาเพิ่มมูลค่าสินค้าและเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การออกแบบให้ตรงตามหลักฮวงจุ้ย การปรับสีบ้านให้ถูกโฉลกกับผู้ซื้อ เป็นต้น

การเติบโตของธุรกิจสายมู

โดยล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ธุรกิจความเชื่อความศรัทธามีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น 134 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 135.89 ล้านบาท เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) ทั้งหมด แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 108 ราย ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 26 ราย คิดเป็นสัดส่วน 80.60% และ 19.40% ของนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ ตามลำดับ

ในขณะที่ทุนจดทะเบียนรวมแบ่งเป็น บริษัทจำกัด 116.64 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 19.25 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 85.83% และ 14.17% ของนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ ตามลำดับ และทั้งหมดเป็นการลงทุนโดยสัญชาติไทย

อย่างไรก็ตามถ้าแบ่งเป็นสัดส่วนจะพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ 46.27% และที่เหลืออยู่ในภาคกลาง 26.12% ภาคตะวันออก 9.70% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5.22% ภาคเหนือ 5.22% ภาคใต้ 4.48% และภาคตะวันตก 2.99% ของธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่

ท่องเที่ยวเชิงศรัทธา กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

ยิ่งกว่านั้น การท่องเที่ยว “เชิงศรัทธา” โดยกำลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยทางอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า หลายจังหวัดใช้กระแสความเชื่อความศรัทธาเป็นไฮไลต์ท่องเที่ยวดึงรายได้เข้าท้องถิ่น เป็นการท่องเที่ยว “เชิงศรัทธา” โดยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเอเชีย ที่นิยมมาท่องเที่ยวเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย

ด้วยความที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่ใกล้เคียงกัน การท่องเที่ยวเชิงศรัทธาถือเป็นรายได้สำคัญสำหรับไทย สามารถกระจายรายได้สู่ธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าชุมชน เกิดเป็นการกระจายรายได้เข้าท้องถิ่นช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้

ธุรกิจสายมูเตลู จึงกลายเป็นธุรกิจที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน และยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้คึกคัก กวาดรายได้ปีละหลายล้านบาทอีกด้วย กลายเป็นธุรกิจตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนทุก Gen เป็นอย่างดี