หากเรามองย้อนกลับไปจากอดีตจนถึงปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายๆสิ่งพัฒนาไปเป็นอย่างมาก และหนึ่งในนั้นคือระบบการชำระ จากเมื่อก่อนที่ใช้เปลือกหอย จนในปัจจุบันเราพัฒนามาถึงยุคดิจิตอลที่ใช้จ่ายผ่าน e-Payment เรามาดูกันว่า กว่าจะมาเป็นระบบการชำระเงินที่สะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน เราใช้อะไรมาบ้าง
ในอดีตเปลือกหอย สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือชำระเงินมีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคของการใช้สิ่งที่หาได้ตามธรรมชาติ เช่น ลูกปัด หนังสัตว์ น้ำผึ้ง และเปลือกหอย สู่ยุคที่ผลิตเงินขึ้นมาใช้ อย่างประกับดินเผา เงินพดด้วง เรื่อยมาจนถึงยุคการใช้เหรียญกษาปณ์ ต่อมาประเทศไทยได้ทำการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น และระบบการเงินทั่วโลกได้พัฒนาเข้าสู่ยุคของการใช้ “เงินกระดาษ” หรือธนบัตรเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน
ในปี 2504 ธปท. จึงได้จัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร เพื่อผลิตธนบัตรออกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และต่อมาได้จัดตั้งศูนย์จัดการธนบัตรเพื่อดูแลการกระจายธนบัตรผ่านธนาคารพาณิชย์ให้ประชาชนได้ใช้ธนบัตรที่มีสภาพดีอย่างทั่วถึง ด้วยกระบวนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานนี้เอง ส่งผลให้ธนบัตรยังคงเป็นสื่อกลางในการชำระเงินที่น่าเชื่อถือและได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นอกจากเงินกระดาษในรูปแบบของธนบัตรแล้ว ยังมีเงินกระดาษอีกประเภทหนึ่ง คือ “เช็ค” ที่นิยมใช้ในแวดวงการค้าและการทำธุรกิจ รองรับการทำธุรกรรมมูลค่าสูงหลักหลายพันล้านบาทได้ โดย ธปท. เป็นผู้ให้บริการระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คระหว่างธนาคาร มีการจัดตั้งสำนักงานกลางในการรับแลกเปลี่ยนเช็คระหว่างธนาคารขึ้นมาในปี 2512 ช่วยสนับสนุนให้การค้าและการทำธุรกิจด้วยเช็คดำเนินไปได้ดีในระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดี การที่ธนาคารพาณิชย์ต้องนำเช็คมาที่ ธปท. เพื่อเรียกเก็บเงินต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างนาน ไม่คล่องตัวทั้งต่อธนาคารพาณิชย์และภาคธุรกิจที่รอรับเงิน
ในปี 2555 ธปท. จึงได้จัดตั้งระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) เพื่อรองรับการเรียกเก็บเงินด้วยภาพเช็คผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาการเรียกเก็บเงินตามเช็คทั่วประเทศให้เหลือ 1 วันทำการ อีกทั้งยังช่วยให้การค้นหาข้อมูลสะดวกและรวดเร็ว ลดภาระการจัดเก็บเช็คฉบับจริง และเพิ่มความคล่องตัวให้การใช้เช็คอย่างราบรื่น
ในช่วงที่เศรษฐกิจของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ธุรกรรมการชำระเงินในแต่ละวันมีปริมาณและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ลำพังแค่ธนบัตรและเช็คอาจไม่เพียงพอรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ธปท. จึงได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ คือระบบการโอนเงินหรือชำระเงินที่มีมูลค่าสูงเรียกว่า ระบบบาทเนต (Bank of Thailand Automated High-value Transfer Network: BAHTNET) เริ่มให้บริการปี 2538 รองรับธุรกรรมทั้งด้านตลาดเงินและตลาดทุนระหว่าง ธปท. กับสถาบันที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ ธปท.
ระบบบาทเนตเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบการเงินของประเทศ ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ลดต้นทุนและความเสี่ยงของระบบการชำระเงินโดยรวมได้ เนื่องจากสถาบันการเงินหันมาใช้ระบบบาทเนตในการชำระเงินระหว่างสถาบันแทนการใช้เช็คที่สถาบันผู้รับเงินมีความเสี่ยงจากการที่ยังไม่ได้รับเงินทันทีเนื่องจากต้องรอเข้ากระบวนการเรียกเก็บเงินตามเช็คก่อน
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการพัฒนามาสู่ระบบการชำระเงินยุคใหม่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทดแทนการใช้เงินสดและเช็คที่มีต้นทุนในการจัดการสูง เริ่มจากยุคของ “เงินในบัตร” ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม ที่เรามีติดกระเป๋ากันแทบทุกคน สามารถใช้จ่ายได้ไม่ต่างจากการใช้เงินสด และช่วยลดโอกาสเงินหายหรือถูกขโมยจากการพกเงินสดจำนวนมากอีกด้วย และเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้จ่ายด้วยบัตรเหล่านี้ ตั้งแต่ปี 2559 ธปท. และภาคธนาคารได้ร่วมกันผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มจากรูปแบบบัตรแถบแม่เหล็กแบบเดิมให้เป็นบัตรแบบชิปการ์ด เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้บัตร เนื่องจากเทคโนโลยีชิปการ์ดเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง สามารถป้องกันการถูกมิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูลไปทำบัตรปลอมได้
นอกจากบัตรพลาสติกที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์แล้ว ยุคของเงินในบัตรนี้ถือว่าเป็นยุคที่เริ่มมีผู้ให้บริการหลากหลาย มีผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank) ออก “บัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)” เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้า และในระยะหลังนี้ เงินพลาสติกได้ขยายบริการไปถึงบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนำเงินที่เติมแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายที่ร้านค้าในต่างประเทศได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวก ลดการพกเงินสด และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้จ่ายของคนไทย
เมื่ออินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ประกอบกับการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการชำระเงินที่เปลี่ยนไป เน้นความสะดวก รวดเร็ว ง่าย ทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทางและระยะเวลาเปิดให้บริการเหมือนการทำธุรกรรมที่สาขาธนาคาร จึงนำไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของระบบการชำระเงินไทย โดยในปี 2558 กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินไทย ส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น โดย ธปท. มีบทบาทหลักในการดูแลโครงการพัฒนาพร้อมเพย์ (PromptPay) และโครงการขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์
พร้อมเพย์ เริ่มให้บริการปี 2559 เป็นระบบโอนเงินและชำระเงินแบบทันที ที่สะดวก รวดเร็ว และแทบไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมในหลายประเภทธุรกรรม ทำให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมมานิยมใช้ “เงินออนไลน์” ทำธุรกรรมผ่านช่องทางโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโอนจ่ายซื้อสินค้ามูลค่าเล็กน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียค่าธรรมเนียมแพง
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งของพร้อมเพย์คือ รองรับการโอนเงินด้วยรหัส ID ต่าง ๆ แทนการโอนเงินด้วยเลขที่บัญชีธนาคารแบบเดิม เช่น หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือหมายเลขประจำตัวประชาชน ที่ต่อยอดไปสู่การจ่ายเงินจากหน่วยงานภาครัฐให้แก่ประชาชนผ่านบัญชีธนาคารที่ผูกเลขประจำตัวประชาชน เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการและการคืนภาษีเงินได้แทนการจ่ายเป็นเช็ค กล่าวได้ว่านอกจากระบบพร้อมเพย์จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและภาคธุรกิจในการโอนหรือรับโอนเงินได้อย่างรวดเร็วด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกลงแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐในการจ่ายเงินสวัสดิการได้ตรงจุดและลดค่าใช้จ่ายจากการใช้เช็คอีกด้วย
ระบบพร้อมเพย์ยังเอื้อให้เกิดบริการต่อยอดต่าง ๆ มากมาย เช่น การชำระเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด (QR code) ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด หรือการรับบริจาคเงิน ต่างก็หันมาวางป้ายรับเงินผ่าน QR เพิ่มความสะดวกให้แก่คนที่ไม่ได้พกเงินสด และช่วยลดการสัมผัสในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ จากข้อดีของการใช้จ่ายด้วยเงินออนไลน์ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก ทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลาและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลงนี้เอง ส่งผลให้ปริมาณการโอนเงินและชำระเงินผ่านพร้อมเพย์เฉลี่ยต่อวันสูงถึง 29.5 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 94.1 พันล้านบาท (ข้อมูลเดือนกันยายน 2564)
นอกจากระบบพร้อมเพย์ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันคือ e-Wallet ที่เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-Money สามารถใช้จ่ายสินค้า บริการต่างๆที่หลากหลายโดยไม่ต้องพกเงินสด หรือบัตรหลายๆ ใบ เพียงแค่แสกนจ่ายเงินกับร้านค้า หรือบริการที่รองรับ
ที่มา : วิวัฒนาการระบบการชำระเงินไทย
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional" |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other". |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |