โดยตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา หลายสกุลเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินเอเชีย เกิดการอ่อนค่าหนักในรอบหลายปี ไม่ว่าจะเป็น
โดยการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก สอดรับกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จากการที่นักลงทุนมีการขายสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังจากประเด็นสงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังเจ้าหน้าที่อิสราเอลระบุว่า การโจมตีนั้นเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากกว่าที่มีจุดประสงค์เพื่อทำลายล้างอิหร่าน ขณะที่เจ้าหน้าที่อิหร่านยืนยันว่า อิหร่านไม่มีแผนที่จะตอบโต้อิสราเอล
โดยนักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 – 5.50% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.- 1 พ.ค. ทั้งนี้มีการเลื่อนคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ของเฟดอาจเป็นเดือน ก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน มิ.ย. หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ด้าน ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2567 เปิดตลาดที่ 37.10 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวันก่อนหน้าที่ระดับ 37.01 บาท/ดอลลาร์
แต่ถึงอย่างนั้น ในวันนี้ (24 เม.ย. 2567) ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.87-37.07 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแย่ลงกว่าคาด เพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง กดดันดอลลาร์อ่อนค่า ผสานแรงขายทำกำไรทองคำ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า เงินบาท ยังไม่สามารถแข็งค่าต่อเนื่องไปได้มากนัก เพราะผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยเข้าซื้อ หรือเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ หลังบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติต่างปรับคาดการณ์เงินบาทอ่อนค่าลงถึงระดับ 37.50 – 38 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 2-3
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY