‘แซลมอนนอร์เวย์’ นับว่าเป็นหนึ่งวัตถุดิบอาหารทะเลที่ได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ด้วยรสชาติที่อร่อยและมีประโยชน์ ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ
แต่สาวกปลาแซลมอนต้องเตรียมใจให้ดี เพราะตอนนี้ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกแซลมอนอย่าง ‘นอร์เวย์’ ได้ขึ้นภาษีฟาร์มปลาแซลมอนในประเทศ ทำให้การส่งออกอาจเพิ่มราคาขึ้น ส่งผลให้อนาคตราคาแซลมอนอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม
ข้อมูลการพัฒนาระบบการผลิตและส่งออกอาหารทะเลอย่างยั่งยืนของนอร์เวย์ จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ระบุว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลจากนอร์เวย์มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากจีน โดยช่วง ม.ค. – ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้าปลาแซลมอน 16,100 ตัน ปลาเทร้าต์ 6,600 ตัน และปลาซาบะ 9,400 ตัน
นอกจากนี้ จากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) เผยว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปริมาณการนำเข้าแซลมอนจากนอร์เวย์รวม 19,900 ตัน คิดเป็นมูลค่า 5,800 ล้านบาท
อย่างที่รู้กันว่า นอร์เวย์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ชื่อว่าเก็บภาษีแพงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากภาษีความมั่งคั่งที่ทำให้เมื่อต้นปี 2566 ทำให้มหาเศรษฐีในประเทศพากันย้ายออกมากเป็นประวัติการณ์แล้ว
ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ฟาร์มแซลมอน ที่เรียกได้ว่าเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศนอร์เวย์ ได้มีการเรียกเก็บภาษีแซลมอนขึ้น โดยมองว่าเจ้าของธุรกิจฟาร์มแซลมอนขนาดใหญ่ ทำกำไรจากทรัพยากรธรรมชาติได้มากเกินไป เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐต้องเก็บภาษี เพื่อนำเงินที่ได้ไปพัฒนาประเทศ ทำให้เกิดความเท่าเทียมกับคนทั่วไปมากขึ้น
แน่นอนว่าการเรียกเก็บภาษีนี้ส่งผลอย่างมากกับธุรกิจแซลมอนในนอร์เวย์ ซึ่งหนึ่งในกิจการฟาร์มแซลมอนนอร์เวย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง บริษัท Mowi ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากผลประกอบการของ Mowi หลังประกาศใช้ภาษีแซลมอน ระบุว่า
ไตรมาส 1 ปี 2023
ไตรมาส 2 ปี 2023
จะเห็นได้ว่า Mowi มีรายได้จำนวนเท่าเดิม แต่กลับจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น 4 เท่า ด้วยสาเหตุที่ว่ารัฐบาลนอร์เวย์ขอเรียกเก็บภาษีย้อนหลังไปในไตรมาสแรกด้วย จากเดิมกำไรก่อนหักภาษี ทุก ๆ 100 บาท จะโดนภาษี 22 บาท กลายมาเป็นโดนภาษี 47 บาท เท่ากับว่า กำไรหลังหักภาษี จะลดลง จาก 78 บาท เป็น 53 บาท
ซึ่งจุดนี้เอง อาจเป็นการเปิดโอกาส ให้ประเทศผู้ส่งออกรายอื่นอย่าง สวีเดน และชิลี เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด จนทำให้เจ้าบ้านอย่างนอร์เวย์อาจเสียตำแหน่งการแข่งขันในธุรกิจแซลมอนได้
โดยทางบริษัท Mowi ได้ทำการยื่นร้องสิทธิ์ทางกฎหมายเกี่ยวกับการขึ้นภาษีที่มากจนเกินไป และในอนาคตอีกวิธีที่ง่ายที่สุดในการชดเชยกำไรที่หายไป นั่นก็คือ การผลักภาระไปให้ผู้บริโภคอย่างการ “ขึ้นราคาขาย”
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า แซลมอน หนึ่งในวัตถุดิบอาหารที่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติภาวะโลกร้อนมากที่สุด จากข้อมูลของ “สภาผู้พิทักษ์ทางทะเล” (Marine Stewardship Council หรือ “MSC”) องค์กรไม่แสวงหากำไรสำหรับการประมงอย่างยั่งยืนระบุว่า มหาสมุทรทำหน้าที่ดูดซับความร้อนที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ ทำให้สัตว์น้ำได้รับผลกระทบไปด้วยโดยมีแนวโน้มว่า ในพื้นที่เขตร้อนจะสามารถจับสัตว์ทะเลเพื่อการบริโภคลดลง 40 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งปลาแซลมอนนั้นมีความอ่อนไหวต่อระดับออกซิเจนในน้ำอย่างมาก เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น จะทำให้แซลมอนฟักตัวก่อนกำหนด ส่งผลให้ถูกปลาใหญ่กินและมีอัตราการผสมพันธุ์ของแซลมอนลดลง ในขณะที่อุปทานของแซลมอนทั่วโลกเท่าเดิมแต่จำนวนประชากรแซลมอนอาจขาดแคลน
ด้วยปัจจัยทั้งด้านการขึ้นภาษีและภาวะโลกร้อน สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้ตลาดแซลมอนทั่วโลก รวมถึงคนไทยอย่างเรา ที่นำเข้าแซลมอนจากนอร์เวย์เป็นหลัก อาจได้ทานแซลมอนในราคาที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัวก็เป็นได้