fbpx
Search
Close this search box.

e-Money เงินที่เราเคยใช้ แต่อาจจะไม่รู้จัก

          อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว หรืออาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งๆที่ e-Money เราเดินไปไหนก็เจอ หรือแม้แต่อาจจะเคยใช้โดยไม่รู้ตัว เพราะเราเรียกมันในชื่ออื่นนั่นเอง ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับเงินที่อยู่ในรูปแบบ e-Money กันดูนะครับ

e-Money_เงินที่เราเคยใช้_แต่อาจจะไม่รู้จัก
สารบัญ

e-Money ที่เราเคยใช้ แต่อาจจะไม่รู้ตัว

         แท้จริงแล้ว e-Money มีชื่อเล่นในไทยว่า เงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสื่อกลางในการชำระเงินรูปแบบหนึ่งที่เป็นการนำเงินสด หรือเงินธนบัตรไปอยู่ในรูปแบบบัตร หรืออยู่ในระบบส่วนกลางต่างๆ เช่น e-Wallet เพียงแค่ e-Money จะต้อง “เติมเงินสดล่วงหน้า” ไปก่อนถึงจะนำไปใช้ได้ และมูลค่าที่ใช้ได้จะเท่ากับจำนวนเงินที่เราจ่ายไปเท่านั้น ถ้ามูลค่าเงินในบัตร หรือ e-Wallet หมดก็สามารถเติมเงินเข้าไปเพิ่มเติมได้

          ถ้ายังนึกไม่ออก ลองนึกถึงบัตรแลกเงินสดในศูนย์อาหารก็ได้ครับ นั่นคือ e-Money รูปแบบหนึ่งเช่นกัน โดยก่อนที่เราจะไปซื้ออาหารจะต้องเอาเงินสดไป “แลกบัตร” มาก่อน หลังจากนั้นจึงนำบัตรไปจ่ายค่าอาหาร

           หรือจะนึกถึงบัตรรถไฟ ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินหรือบนดิน บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือหรือบัตรที่ใช้ซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อ ก็เป็น e-Money เหมือนกัน ซึ่งอยู่ในรูปแบบของ “บัตร” หรือที่เรียกว่า Card Based ที่ข้อมูลบัตร ข้อมูลการใช้จ่าย และมูลค่าเงิน จะถูกเก็บไว้ในชิปขนาดเล็ก

           อย่างไรก็ตาม e-Money ประเภท Card Based ไม่จำเป็นต้องเป็นบัตรพลาสติกเพียงอย่างเดียว เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างมาก ชิปขนาดเล็กนี้สามารถไปฝังเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือ หรือพวงกุญแจก็ได้

           นอกจากนี้ ยังมี e-Money อีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Network/Server Based หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์กลางของผู้ให้บริการที่เรารู้จักในนาม e-Wallet หรือกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมากกว่าแค่กระเป๋าที่ไว้เก็บเงิน เพราะสามารถใช้จ่ายสินค้าหรือบริการได้อย่างมากมาย และหลากหลาย และยังมีอัตราการเติบโตที่สูง ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจ e-Commerce ที่เติบโต

          ซึ่งถ้าเราจะใช้ e-Money ประเภท Network/Server Based หรือ e-Wallet เราเพียงแค่เข้าไปลงทะเบียน สมัครออนไลน์กับผู้ให้บริการ จากนั้นทำการเติมเงินเข้าบัญชีผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ธนาคาร หรือบัตรเครดิต และเมื่อเราต้องการจ่ายเงินเราก็เพียงแค่ทำการสแกนจ่ายกับร้านค้า หรือบริการนั้นๆ ผ่าน QR code ระบบก็จะตัดเงินจากเงินของเราที่เติมไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง

สะดวกคนขาย สบายคนซื้อ

           ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดจากการใช้ e-Money หรือ เงินอิเล็กทรอนิกส์ คือ ความสะดวกสบาย ทั้งคนซื้อและคนขาย ในฝั่งคนซื้อก็สะดวก เพราะหลังจากเติมเงินใน e-Wallet หรือบัตร แล้วทำให้ “e-Wallet หรือบัตร เป็นเหมือนมีเงินสด” โดยไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก เมื่อซื้อสินค้าแล้วก็เพียงแค่สแกนจ่าย ร้านค้าก็หักเงินค่าสินค้าออกจาก e-Wallet หรือบัตร ของเราเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอทอนเงิน และรู้ด้วยว่า เงินในบัตรหรือe-Wallet เหลือเท่าไร หรือถ้ามีเงินอยู่ในบัตรรถไฟฟ้า สามารถแตะบัตรแล้วเข้าไปได้เลยไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวหยอดเหรียญโดยสาร

           ขณะที่ฝั่งคนขายก็สบาย เพราะเมื่อรับชำระค่าสินค้าและค่าบริการในรูปแบบ e-Money แล้ว ก็ไม่ต้องมาปวดหัวเรื่องการจัดการเงินสด เช่น ร้านสะดวกซื้อที่รับชำระค่าสินค้าด้วยเงินสด ไม่ต้องมานั่งนับเหรียญ เช็คเงินในลิ้นชักให้วุ่นวายในการทำบัญชี ซึ่งนั่นเท่ากับการลดต้นทุนดำเนินงานไปได้มาก

           นอกจากนี้ e-Money ยังเหมาะมากๆ สำหรับการซื้อ-ขายออนไลน์ หรือธุรกิจ e-Commerce ในการทำรายการซื้อสินค้าออนไลน์ เพราะเราไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตในการซื้อสินค้าหรือบริการ และลดความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดได้

e-Money เทรนด์นี้มาแรงไม่หยุด

          ย้อนเวลาไปเมื่อปี 2553 มียอดการใช้จ่ายผ่าน e-Money เฉลี่ยเดือนละประมาณ 4,600 ล้านบาทนั้น แต่ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค. 2557 ยอดการใช้จ่ายรวมกระโดดขึ้นไปถึง 21,800 ล้านบาท และล่าสุดปี 2564 มียอดการใช้จ่ายผ่าน e-Money มากถึง 468,000 ล้านบาท หากมองตามระยะเวลา ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดอย่างมาก และในอนาคตยังสามารถเติบโตได้อีกหลายเท่าตัว

          และในภาคธุรกิจเองก็มองเห็นประโยชน์จากการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน เพราะช่วยลดต้นทุนต่ำ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูง ซึ่งน่าจะทำให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเช่นกัน

          อย่างไรก็ตามการใช้ e-Money ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความสะดวก สบาย แต่ยังช่วยลดต้นทุนที่เกิดจากการใช้เงินสดได้มหาศาลไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง หรือทั้งภาครัฐ และเอกชน ทำให้เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองนึกภาพว่าเราต้องเดินทางไปกดเงินสดจากธนาคารหรือตู้ ATM ที่ต้องเสียทั้งเวลาและมีต้นทุนในการเดินทาง เอกชนอย่างแบงก์เองก็ทำการขนย้ายเงินมาสำรองไว้ที่ตู้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และรักษาความปลอดภัย รัฐฯเองเป็นผู้ที่ต้องผลิตธนบัตรใหม่ และเวียนคืนธนบัตรที่ชำรุดซึ่งในแต่ละขั้นตอนล้วนมีต้นทุนมหาศาลจากการจัดการในขั้นตอนต่างๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆสามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่