ก่อนที่จะลงทุนในกองทุนรวม เราต้องรู้ก่อนว่ากองทุนที่เรากำลังจะลงทุนนั้น เป็นกองทุนประเภทไหน และผู้จัดการกองทุนมีแนวทางในการบริหารกองทุนอย่างไร ซึ่งกลยุทธ์ที่ผู้จัดการกองทุนใช้ในการบริหารกองทุน จะแบ่งได้เป็นการบริหารแบบเชิงรับ หรือ Passive Fund และการบริหารแบบเชิงรุก หรือ Active Fund แล้ว Passive Fund และ Active Fund คืออะไร นักลงทุนควรพิจารณาเลือกลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน บทความนี้มีคำตอบซึ่งกลยุทธ์ที่ผู้จัดการกองทุนใช้ในการบริหารกองทุน
กองทุนรวมแบบ Passive Fund หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund คือ กองทุนรวมหุ้นที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ “ใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้” เช่น วันนี้ SET Index +5% กองทุนรวมดัชนีก็ต้อง +5% หรือ +4.9% หรือ +5.1% โดยประมาณ (ขอให้ได้ใกล้เคียงที่สุด) เป็นต้น
กองทุนรวมดัชนี ส่วนใหญ่จะแบ่งตามดัชนี หรือ Benchmark ที่กองทุนนั้นๆ ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียง เช่น SET, SET100, SET50 และ SETHD เป็นต้น นักลงทุนสามารถสังเกตได้จากชื่อกองทุน โดยชื่อกองทุนจะบอกได้ว่ากองทุนนั้นใช้ดัชนีอ้างอิงเป็นดัชนีใด เช่น กองทุน Passive Fund ที่ใช้ดัชนี SET50 เป็นดัชนีอ้างอิง จะมีคำว่า SET50 อยู่ในชื่อกองทุนนั้นด้วย นอกจากนี้แนวทางการลงทุนจะถูกแจ้งอยู่ในหนังสือชี้ชวนด้วยเช่นกัน
คำตอบก็คือ ถ้าเราเชื่อว่า “ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ” และ “ราคาหุ้นทุกตัวในตลาด เป็นราคาที่สมเหตุสมผล” การลงทุนในกองทุนรวมดัชนีก็จะตอบโจทย์ เพราะถ้าเราเชื่อว่าราคาหุ้นที่เห็นนั้นเป็นราคาที่สมเหตุสมผลหรือเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพยายามเอาชนะตลาด เหมือนกับของชิ้นหนึ่งที่ราคา 20 บาท คุณค่าและคุณภาพที่ได้รับเหมาะสมกับราคาแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะเข้าไปซื้อหรือเข้าไปแข่งขันให้เหนื่อยเปล่า
ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี จึงเป็นการลงทุนโดยซื้อหุ้นทั้งตลาดตามดัชนี โดยกองทุนรวมดัชนี จะไม่พยายามทำตัวเหมือนว่า เลือกหุ้นที่ “ดีที่สุด” หรือ หลีกเลี่ยงหุ้นที่ “แย่ที่สุด” แต่จะลงทุนไปตามตลาด ทีนี้เราลองมาดู ข้อดี ข้อเสีย ของกองทุนรวมดัชนีกันบ้าง
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีความเสี่ยงต่ำสุดในบรรดากองทุนรวมหุ้น | กองทุนรวมดัชนี จำเป็นจะต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา |
ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนรวมแบบ Active | นี้เมื่อเป็นตลาดขาลง กองทุนรวมดัชนี ไม่สามารถลดทอน หรือขายหุ้นออกจากพอร์ตได้หมด |
ความเสี่ยงในเรื่องของการคัดเลือกหุ้นให้ถูกตัว หรือเลือกหุ้นผิดตัวจึงต่ำกว่า | กองทุนรวมดัชนี มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี” เท่านั้นฉะนั้น |
ข้อดี
ข้อเสีย
กองทุนรวม Active Fund เป็นการบริหารแบบเชิงรุก โดยใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนเป็นหลักในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน โดยเป้าหมายคือต้องการให้ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด (benchmark) อาทิ ลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนมากกว่า SET Index โดยสามารถแบ่งการวิเคราะห์การลงทุนของผู้จัดการกองทุนได้ใน 2 รูปแบบ คือ
ส่วนข้อดี ข้อเสียของกองทุนรวมแบบ Active ก็จะตรงกันข้ามกับแบบ Passive นั่นเอง
คำตอบก็จะเหมาะกับนักลงทุนที่คิดว่าจะมีผู้จัดการกองทุนเก่งๆ ที่จะบริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดี และชนะตลาดได้ในระยะยาวด้วย แม้ว่ากองทุนรวมแบบ Active จะเก็บค่าธรรมเนียมที่แพงกว่า แต่นักลงทุนก็ยินดีที่จะจ่าย เพราะเชื่อในฝีมือของผู้จัดการกองทุนนั่นเอง ดังนั้นเราจึงต้องเลือกให้ถูกกองด้วย เพราะอย่าลืมว่ากองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่แพ้ตลาด
กล่าวโดยสรุป กองทุนทั้ง 2 ประเภทต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน นักลงทุนจึงต้องเลือกลงทุนโดยพิจารณาจากเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน ความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง และอย่าลืมอ่านหนังสือชี้ชวนให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความโดย :
นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®, ACC
นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร
เพื่อนๆลองประเมินความเสี่ยง และความเหมาะสมกับตัวเองดูนะครับ ว่าเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่ แน่นอนว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง สิ่งหนึ่งที่เราควรทำเป็นอับดับต้นๆในการลงทุนคือ ลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการงทุนนะครับ