Central Bank Digital Currency คือเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าธนาคารกลางของไทยออกสกุลเงินดิจิทัล ก็เหมือนเงินบาทหรือธนบัตรที่ออกโดยแบงก์ชาติ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบ “ดิจิทัล” ซึ่งมีมูลค่าเป็น 1:1 อย่างไรก็ตามหลายๆ คนอาจสงสัยว่าเมื่อใช้งานจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร วันนี้เรารวบรวมคำถาม และคำตอบจากแบงก์ชาติมาให้ลองดูกันครับ
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า การออกแบบ CBDC ของแบงก์ชาติคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ในขณะเดียวกันต้องมีกลไกการตรวจสอบธุรกรรมผิดกฎหมายด้วย ทั้งนี้การใช้ CBDC ต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษี e-Payment เช่นกันเดียวกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า ต้อง Wallet ในการเก็บ CBDC โดยแบ่ง Wallet เป็น 2 รูปแบบ
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า แบงก์ชาติได้พัฒนา Wallet ในรูปแบบการ์ดเพื่อใช้ในการเก็บ CBDC คนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถใช้การ์ดในการเก็บ CBDC และทำธุรกรรมต่างๆ เช่น ฝาก ถอน โอน จ่าย ได้ ดังนั้น จึงจะไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า คนไทยที่ไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคารก็สามารถเข้าถึง CBDC ได้ เพียงแค่เปิด Wallet และนำเงินสดมาแลกเป็น CBDC กับธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาตจากทางแบงก์ชาติ หรือรับ CBDC จากผู้อื่น (เช่น จากการขายของ) มาเก็บไว้ใน Wallet ก็สามารถใช้ได้ CBDC ทำธุรกรรมทางการเงินได้
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า CBDC เหมือนเป็นธนบัตรในรูปแบบดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ในรูปสกุลเงินบาทโดยการสร้าง CBDC นั้น ประชาชนต้องนำเงินสดหรือโอนเงินในบัญชีธนาคารที่มีอยู่มาแลกเป็น CBDC ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 1 : 1 ซึ่งเป็นการนำเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบที่มีสินทรัพย์หนุนหลังมาแลกเปลี่ยนจึงไม่ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อจากการสร้าง CBDC เพราะไม่ได้เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบ และเนื่องจาก CBDC มีคุณสมบัติคล้ายเงินสด จึงไม่มีการจ่ายอัตราดอกเบี้ยในการถือ CBDC
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า การถือครอง CBDC ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย และมีการจำกัดวงเงินในการถือครองของแต่ละคน ดังนั้น ประชาชนจะยังคงเลือกฝากเงินกับธนาคาร ทำให้ไม่เกิดการโยกย้ายเงินอย่างรวดเร็วจึงไม่ส่งผลกระทบต่อฐานเงินฝากของธนาคารมากนัก CBDC เป็นเพียงทางเลือกในการถือเงินช่องทางหนึ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดวงเงินในการถือครอง CBDC ใน Wallet ด้วย ขณะที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวสำหรับเงินฝาก
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า Promptpay ต้องใช้เงินฝากของประชาชนที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ขณะที่ CBDC เป็นเสมือนธนบัตรในรูปแบบดิจิทัล ดังนั้นในแง่การใช้งานจะไม่ต่างกัน คือเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือแต่ประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ใช้จ่ายในอนาคตง่ายขึ้นจากการที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาโปรแกรมสร้างนวัฒกรรมต่อยอดบน CBDC ได้
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า CBDC ที่ออกโดยแบงก์ชาติ มีลักษณะคล้ายกับธนบัตรแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลซึ่งกลไกลการผลิต CBDC จะมีสินทรัพย์หนุนหลังทำให้มูลค่าไม่ผันผวน และมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อไว้รองรับการใช้จ่ายของประชาชนที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น CBDC จึงไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซี อย่างเช่น Bitcoin หรือ Ether ที่มีมูลค่าผันผวนสูง และไม่มีสินทรัพย์หนุนหลังการออก และมักถูกนำมาใช้ในการลงทุนหรือเก็งกำไร
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า CBDC เปรียบเสมือนเงินธนบัตรที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันจึงยังไม่มีนโยบายให้นำ CBDC ไปเชื่อมต่อกับ DeFi
แบงก์ชาติให้คำตอบว่า แบงก์ชาติอยู่ระหว่างการนำเทคโนโลยีมาทดสอบเพื่อให้ CBDC สามารถรองรับปริมาณการทำธุรกรรมของประชาชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีกระบวนการที่เหมาะสมในการป้องกันไม่ให้เกิดการโจรกรรมข้อมูลหรือถูกโจมตีทางด้านไซเบอร์