หลายคนเวลาที่นึกถึงธรรมชาติ สถาปัตยกรรมสวย ๆ เรามักจะนึกถึงโซนยุโรปกันใช่รึเปล่า แต่ใครจะรู้ว่า ความจริงแล้วเราไม่ต้องบินไกลหรือเสียเงินเยอะ ก็สามารถสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามในโซนเอเชียนี่เอง ซึ่งหนึ่งในประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและธรรมชาติราวกับภาพวาด นั้นก็คือ ประเทศจีน นั่นเอง แล้วที่จีนมีสถานที่ไหนน่าไปบ้าง ตามมาดูกันเลยย
หลายคนอาจคุ้นเคย ภาพภูเขาหินทรายสูงเสียดฟ้านี้จากภาพยนตร์เรื่อง อวตาร์ (Avatar) ภูเขาแห่งนี้เรียกว่า เขาเทียนจื่อซาน (Tianzi Shan) หรือ เขาจักรพรรดิ ซึ่งเรียงสลับซับซ้อนกัน 3,000 ยอด อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน ประเทศจีน จางเจียเจี้ยถือเป็นอุทยานแห่งแรกของจีน ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1982 ที่นี่เป็นเขตป่าอนุรักษ์ต่อเนื่อง อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,290 เมตร และจัดเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกยูเนสโก
อุทยานแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสัตว์ใกล้สูญพันธุ์จำนวนมาก รวมถึงสัตว์บางชนิดที่พบได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น โดยสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ขึ้นชื่อของที่นี่ ก็คือ ซาลาเมนเดอร์ยักษ์ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ชอบอาศัยอยู่ในน้ำและในถ้ำ
นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาชมบรรยากาศวิวสวย ๆ พร้อมอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และยังมีจุดชมวิวมองเห็นยอดเขาน้อยใหญ่ ส่วนฤดูที่เหมาะกับการเที่ยวที่จางเจียเจี้ย อยู่ในช่วงหน้าร้อน หน้าใบไม้ร่วง หน้าหนาว และหน้าใบไม้ผลิ ไม่แนะนำให้เที่ยวหน้าฝน
นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ยังมีที่ให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสบรรยากาศความสวยงามจากธรรมชาติอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น สวนนายพลเฮ่อหลง ภูเขาหวงซือจ้าย ภูเขาเทียนเหมินซาน หรือประตูสวรรค์ ถ้ำหลงหวังต้ง ทะเลสาบเป่าฟ่งหู ภาพเขียนสิบลี้ และลำธารแส้ทอง เป็นต้น
กุ้ยหลิน หนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี อยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน เป็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวยงามที่สุดในประเทศจีน จนได้รับฉายาว่าเป็นเมืองสวรรค์บนพิภพ ที่เมืองกุ้ยหลินนี้มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบแอ่งกระทะ สลับกับเทือกเขายาว และเต็มไปด้วยถ้ำหินปูนมากมาย
หนึ่งในกิจกรรมห้ามพลาดนั่นก็คือ การล่องเรือในแม่น้ำหลีเจียง (Li River) สัมผัสกับประสบการณ์การชมวิวธรรมชาติ ทั้งภูเขาน้อยใหญ่กว่า 27,000 ยอดที่ตั้งเรียงรายข้างแม่น้ำหลีเจียงสีเขียวมรกตยาวกว่า 400 กิโลเมตร เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจได้ดีไม่น้อย ซึ่งที่นี่สามารถล่องเรือได้ 2 แบบ คือ ล่องในเมืองกุ้ยหลินอย่างเดียว กับ ล่องจากเมืองกุ้ยหลินไปเมืองหยางซั่ว พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์
ช่วงเดือนที่เหมาะกับการท่องเที่ยว คือ ช่วงเดือนเมษายน – เดือนสิงหาคม นอกจากนี้กุ้ยหลินยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เช่น เขางวงช้าง ถ้ำขลุ่ยอ้อ เจดีย์เงิน เจดีย์ทอง เขาเหยาซาน และนาขั้นบันไดหลงเซิ่น
อุทยานจิ่วไจ้โกว ได้ถูกขนานนามว่าเป็นอุทยานสวรรค์ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติขนาดใหญ่ ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากเมืองเฉิงตูประมาณ 500 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ A5 ของจีน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1992
โดยสถานที่แนะนำห้ามพลาด นั่นก็คือทะเลสาบห้าสี (Five Flower Lake) ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ทะเลสาบของที่นี่มีสีฟ้าเขียว และเมื่อมีแสงอาทิตย์ส่องตกกระทบกับพื้นน้ำ สีของน้ำในทะเลสาบจะเปล่งประกายเป็นสีรุ้ง ซึ่งเกิดจากแคลเซียมคาร์บอเนตและพืชน้ำต่าง ๆ ที่ใสราวกับกระจกสะท้อนความสวยงามของธรรมชาติได้ชัดเจน
นอกจากทะเลสาบห้าสีแล้ว ที่นี่ยังมี ทะเลสาบยาว ทะเลสาบแรด ทะเลสาบกระจก ทะเลสาบนกยูง น้ำตกธารไข่มุก และหมู่บ้านซูเจิง ซึ่งเราก็จะได้เห็นเสน่ห์และความสวยงามของจิ่วจ้ายโกวที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา แต่ช่วงที่ถือเป็นไฮไลท์ที่สุดคือ ฤดูใบไม้ร่วง ที่ละลานตาไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีทั่วหุบเขา
อุทยานธรณีแห่งชาติจางเย่ ตั้งอยู่ที่เมืองจางเย่ มณฑลกานซู ทางตอนเหนือของประเทศจีน มีอาณาเขตกว้างถึง 300 ตร.กม. บนระดับความสูง 2,000 – 3,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
อุทยานแห่งนี้มีสิ่งมหัศจรรย์สุดพิเศษที่เรียกว่า “ภูเขาสีรุ้ง” หรือที่รู้จักว่า “เขาสายรุ้งตานเสีย” ภูเขานี้เกิดจากการทับถมกันหลังการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกครั้งใหญ่ เมื่อ 24 ล้านปีก่อน ประกอบกับการโดน ลม และฝนกัดเซาะเป็นเวลานับพันปีจนทำให้เกิดลวดลายเรียงตัวกันเป็นชั้นเหมือนเป็นริ้วสีธรรมชาติ
ซึ่งความสวยงามของวิวทัศนียภาพนี้เอง ทำให้ภูเขาสายรุ้งตานเสียได้โลดแล่นอยู่บนภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องอีกด้วย สำหรับใครที่อยากมาถ่ายภาพภูเขานี้ แนะนำให้มาช่วง เช้า หรือ เย็น เพราะแสงและภาพจะเกิดมิติสวยงาม ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก
ทุ่งนาขั้นบันไดหยวนหยาง นั้นตั้งอยู่ที่มณฑลยูนนาน เมืองหยวนหยาง ที่นี่เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม และ วิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาในรุ่นต่อรุ่น จากบรรพบุรุษของชาวเผ่าฮานี ย้อนกลับไปในสมัย 2500 ปีก่อน บริเวณหุบเขานี้ไม่เหมาะกับการเพาะปลูกอย่างมาก แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ ชาวฮานีจึงนำก้อนหินมาลบคม ต่อกันเป็นกำแพง กันพื้นที่เป็นลักษณะขั้น ๆ จนสามารถทำการเกษตรกรรมได้
จากนั้นทุ่งนาแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนในสมัยช่วงราชวงศ์หมิง ได้มีการนำวิธีการทำการเกษตรในลักษณะนี้ออกเผยแพร่ออกไปทั่วประเทศจีน จนถึงกับได้รับพระราชทานฉายาจากฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงว่า “เทพอินทรีแห่งเขาใหญ่” เลยทีเดียว
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเที่ยวทุ่งนาขั้นบันไดนี้ แนะนำให้มาช่วงหน้าฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่สามารถมองเห็นทะเลหมอกสีขาวสลับกับทุ่งนาสีเขียว และช่วงท้องฟ้าเปิด ซึ่งในทุก ๆ ฤดูกาลพันธุ์พืชจะหมุนเวียนเปลี่ยนสีของทุ่งนาขั้นบันไดตลอดทุกฤดูกาล ใครมามณฑลยูนนานต้องแวะมาถ่ายรูปกับความสวยงามนี้หน่อยแล้ว
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional" |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other". |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |