Menu
ตลาดหุ้นหรือการลงทุนก็เปรียบเหมือนกับป่า ที่มีเหล่านักลงทุนเป็นนักล่า ซึ่งครั้งนี้ ACU PAY จะพามาสำรวจกันดูว่า คุณจะเป็นนักลงทุนสายไหน โดยเปรียบเทียบกับสัตว์ 10 ชนิดเหล่านี้ ถ้าได้คำตอบแล้วก็ลองมาแชร์กันดู
หมาป่า อธิบายนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ซับซ้อนและฉลาดมาก ๆ จนพร้อมที่จะสร้างตำนานอื้อฉาวไว้ในวงการลงทุน พวกเขามักใช้วิธีหาเงินที่ผิดจรรยาบรรณ อย่างเช่น การมีส่วนร่วมในกลลวงการลงทุน
อย่าง Jordan Belfort เจ้าของฉายา “The Wolf Of The Wall Street” ที่ได้ทำการหลอกหุ้นปั่นจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในวงการวอลล์สตรีท
นอกจากนี้ เวลาเกิดเหตุการณ์ที่คนหลายคนร่วมมือกันปั่นตลาดหุ้น เราจะเรียกตลาดนี้ว่า “ตลาดหมาป่า” ตัวอย่างเช่น กลุ่มนักลงทุนอาจใช้กลยุทธ์การล่าหมาป่าเพื่อขายชอร์ตหุ้นของบริษัทเพื่อทำลายมูลค่าของบริษัทนั้นลง
กวางตัวผู้มีลักษณะตามธรรมชาติคือ ทำตามสัญชาตญาณและเป็นผู้ใหญ่ ในทำนองเดียวกัน ลักษณะของคนกลุ่มนี้จะมองหาผลกำไรระยะสั้นโดยการซื้อและขายหุ้นอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการเงินทุนสภาพคล่องจำนวนมาก นอกจากนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นที่รู้จักในการจับตาดูหุ้นที่พวกเขาต้องการลงทุนอย่างกระตือรือร้นและมีความรู้ เป็นที่รู้กันว่าคนกลุ่มนี้มีความสามารถในการเปลี่ยนตลาดหมีให้เป็นตลาดกระทิงหรือกลับตลาดได้
“Bulls make money, bears make money, pigs get slaughtered” แปลว่า “กระทิงทำเงิน หมีทำเงิน หมูโดนเชือด” นี่เป็นคำเตือนเก่าแก่ในวอลล์สตรีทกล่าวเตือนไม่ให้นักลงทุนอย่าโลภมากจนเกินไป
หมูบ่งบอกถึงนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ไม่ค่อยมีความอดทน กล้าที่จะเสี่ยง โลภมาก และหวั่นไหวง่าย คนกลุ่มนี้มักไม่ค่อยทำการวิเคราะห์ แต่มักจะหาทางลัดอยู่เสมอ เพราะต้องการสร้างรายได้แบบเร็ว ๆ น่าเสียดายที่เทรดเดอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยการขาดทุนจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้น ในบางครั้งพวกเขาก็สร้างผลกำไรได้เช่นกัน
คำนี้ใช้อธิบายลักษณะของเทรดเดอร์ที่ซื้อหุ้นไว้เก็งกำไรในระยะเวลาสั้น ๆและมองหาโอกาสเพียงแค่สร้างรายได้อย่างรวดเร็วให้กับตลาดในระหว่างวัน
ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อหุ้นหนึ่งมาในช่วงเวลา 11 โมง โดยคาดการณ์ว่าหุ้นจะขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน ภายในไม่กี่ชั่วโมงหุ้นตัวนั้นก็ขึ้น และในวันเดียวกัน เราก็ขายหุ้นนั้นทิ้ง หลังจากได้กำไรมา
แต่อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้มักเป็นพวกต้องตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นไม่สนใจผลและความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการเทรดแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยความโชคดีอย่างต่อเนื่องมาก เพราะมีความเสี่ยงขาดทุนสูง
เต่าคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกระต่าย คนกลุ่มนี้จะเป็นนักลงทุนที่ซื้อช้า ขายช้า และซื้อขายตามกรอบเวลาระยะยาว นักลงทุนประเภทนี้ไม่สนใจความผันผวนในระยะสั้น แต่จะกังวลกับผลตอบแทนระยะยาวเป็นส่วนใหญ่ พวกเขามักเลือกหลักทรัพย์ที่ค่อย ๆ เติบโต ค่อยเป็นค่อยไป
ซึ่งไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นจะผันผวนเพียงใด เต่าก็สามารถเอาชนะได้ภายในเวลานาน และสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าหากพวกเขามีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
คนกลุ่มประเภทหอยทาก คือคนที่มักพอใจกับผลตอบแทนที่ต่ำ จากการฝากเงินในธนาคาร หรือบางคนอาจไม่สนใจ หรือคิดจะมีบัญชีในสถาบันการเงินด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจว่าเงินสดของพวกเขากำลังจะมีการด้อยค่าลงเรื่อย ๆ จากอัตราเงินเฟ้อ
ไก่ หมายถึง นักลงทุนที่กลัวตลาดหุ้นและไม่เสี่ยง พวกเขาอยู่ห่างจากความเสี่ยงด้านตลาดโดยยึดติดกับตราสารอนุรักษนิยม เช่น ฝากประจำ พันธบัตร เงินฝากธนาคาร หรือหลักทรัพย์ของรัฐบาล
แกะคือนักลงทุนที่มักยึดถือรูปแบบการลงทุนแบบเดียว และไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด พวกเขามักมีความคิดเข้าข้างคนส่วนใหญ่ (แบบฝูง) และมักจะทำตามคำแนะนำของกูรู ตามกระแสแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่ได้พิจารณาว่าการลงทุนเงินแบบนั้นเหมาะสมกับพวกเขาหรือไม่
ฉลามนั้นถือเป็นธงสีแดงสำหรับนักลงทุน เพราะพวกมันสื่อถึงอันตราย คนกลุ่มนี้มักล่อลวงนักลงทุนรายย่อยด้วยคำสัญญาว่าจะได้กำไรสูงมากจากหุ้นที่มีความเป็นมาไม่ชัดเจน ฉลามมักทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม พวกเขามักจะผลักดันราคาหุ้นด้วยการซื้อขายกันเอง เมื่อราคาดังกล่าวสูงขึ้นมาก พวกเขาจะทิ้งหุ้นนั้นให้กับผู้ซื้ออย่างไม่ทันรู้ตัวและก็จากไปในที่สุด
วาฬในความหมายตลาดหุ้น คือ กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นจำนวนมากเพียงพอที่จะขับเคลื่อนตลาด พวกเขาไม่ใช่บุคคลทั่วไป แต่มักเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ที่มีเงินจำนวนมากในกระเป๋า เช่น ธนาคาร กองทุนป้องกันความเสี่ยง และกองทุนรวม วาฬสามารถผลักดันราคาให้ขึ้นหรือลงได้ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังซื้อหรือขาย ผู้ซื้อรายย่อยต้องดูว่าวาฬกำลังทำอะไรเพื่อดูว่าตลาดกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางไหน
จะเห็นได้ว่าลักษณะนิสัยของการเปรียบเทียบสัตว์ทุกตัวในตลาดหุ้น จะมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งคนเราก็สามารถมีนิสัยได้เหมือนกับสัตว์หลายประเภท บางคนอาจเริ่มจากไก่และเปลี่ยนเป็นกวางก็ได้เหมือนกัน การลงทุนทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง สิ่งที่เตรียมพร้อมกับความเสี่ยงนั้น คือการศึกษามีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่มากพอ ก็จะทำให้เราพร้อมกับความเสี่ยงนั้นเสมอนั่นเอง
