ซึ่งสมองจะจำกิริยาการหัวเราะเชื่อมกับสารเอนโดนฟีนที่สมองส่วนกลาง ทำให้เวลาเราอยู่ในสถานการณ์ที่เรา ‘เจ็บ’ ร่างกายจะตอบสนองความรู้สึกและหัวเราะออกมาเพื่อให้สารเอนโดนฟีนหลั่งบรรเทาความเจ็บปวด
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford พบว่าเราทนความเจ็บปวดได้มากขึ้น จากเสียงหัวเราะ โดยมีการทดลองให้ผู้เข้าร่วมดูรายการตลก 15 นาที และพบว่าพวกเขาสามารถทนความเจ็บปวดได้มากขึ้น 10% ซึ่งผู้วิจัยระบุว่านี่เป็นผลลัพธ์ของการเอนโดรฟีนที่หลั่งออกมาจากเสียงหัวเราะ
ส่วนในเวลาที่เราเห็นเพื่อนสะดุดล้ม หรือดูคลิปวิดีโอที่มีการเจ็บตัวเล็ก ๆ ที่ทำให้เราขำออกมา ที่ไม่ใช่ในเชิงหัวเราะเยาะ แต่เป็นการหัวเราะในเชิงอยากให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น และกระตุ้นให้คนที่กำลังเจ็บปวดหัวเราะออกมาและคลายความเครียดลงเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นโดยปกติเสียงหัวเราะมักจะมาพร้อมกับเรื่องตลก ความสุข แต่การหัวเราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าสังคมได้เช่นกัน เป็นการสร้างบรรยากาศที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น และเป็นมิตร กล่าวคือ เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้น เป็นดัชนีวัดความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์นั่นเอง
นอกจากปัจจัยตามหลักชีววิทยาของทางร่างกายแล้ว ความตลกขบขันนั้นสามารถเกิดจากปัจจัยรอบตัวได้ อย่างเช่นทฤษฎีความไม่สอดคล้องและการคลี่คลาย ที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดจากการค้นพบความไม่เข้ากัน ของเหุตการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือจากการเปลี่ยนทิศทางกระทันหันจากสิ่งที่เราหวังจะเห็น
อย่างเราคาดการณ์สถานการณ์ว่าพอทำแบบ A จะเป็น B แต่แล้วเหตุการณ์ก็คลี่คลายด้วยวิธีที่ไม่คาดคิดผ่านการทำแบบ Y ซึ่งเมื่อการคาดเดาเกิดความผิดพลาด ไม่สอดคล้องกัน การหัวเราะเลยกลายเป็นวิธีในการแก้ไขความไม่ลงรอยกันโดยการสร้างการตีความเป็นสิ่งที่เรามักพบตามการ์ตูน หรือในหนังตลก คอมเมดี้ต่าง ๆ
ดังนั้นเวลาที่เราหัวเราะเพื่อน ๆ ของเราได้ในเหตุการณ์ที่มันไม่ค่อยน่าหัวเราะเท่าไร เราไม่ได้ขำแค่ความซุ่มซ่ามเท่านั้น แต่ยังมีเบื้องหลังหลาย ๆ อย่างทั้งทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาซ่อนเอาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะนั่นเอง
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY