เราอาจจะคุ้นเคยกับการปันผลเป็นเงินสด แต่รู้หรือไม่ว่าบริษัทสามารถที่จะจ่ายเป็นหุ้นให้ได้ด้วยเหมือนกัน แล้วดีหรือไม่อย่างไรเราลองมาดูกันครับ
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินสด จะทำให้นักลงทุน ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินสด ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ มักจะนิยมจ่ายปันผลเป็นเงินมากกว่า ส่วนปันผลเป็นหุ้น คือบริษัทจะจ่ายปันผลเป็นหุ้นของบริษัทให้กับนักลงทุน เมื่อถึงรอบการจ่ายปันผล
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นหุ้น เพราะจะทำให้มูลค่าธุรกิจคงเหลือ สูงกว่าการจ่ายปันผลเป็นเงินสดทั้งหมด นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัท มีเงินสดคงเหลือจำนวนมาก สำหรับไปใช้ลงทุน หรือ หมุนเวียนในกิจการได้อีก ประกอบกับ ยังประหยัดภาษีที่ต้องจ่าย เมื่อเทียบกับ การจ่ายปันผลทั้งหมดเป็นเงิน
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นหุ้น จะช่วยเพิ่มจำนวนหุ้นในบริษัท แต่มูลค่ารวมบริษัทนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงส่งผลให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง หรือ ที่เรียกว่า Dilution effect แต่ถึงแม้มูลค่าต่อหุ้นจะลดลง ก็จะไม่ส่งผลกระทบกับนักลงทุน เพราะนักลงทุน จะได้รับจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น จากการจ่ายปันผล ซึ่งเพียงพอชดเชย ผลกระทบดังกล่าว
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินสดมีข้อดี คือ จะทำให้นักลงทุน ได้รับเงินสดทันที ตามกำหนดวัน ที่บริษัทแจ้งจ่ายปันผล ซึ่งถ้านักลงทุนถือหุ้นที่จ่ายปันผลบ่อยๆ เช่น ไตรมาสละครั้ง ยิ่งช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับตนเองได้อีกด้วย
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินสดมีข้อเสีย คือ นักลงทุน จะต้องเสียภาษี 10% จากจำนวนเงินปันผลรับทั้งหมด แต่ก็สามารถขอเงินส่วนนี้คืนได้ภายหลัง ซึ่งมีขั้นตอนอยู่พอสมควร
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นหุ้นมีข้อดี คือ นักลงทุนไม่ต้องเสียภาษี 10% เหมือนการรับปันผลเป็นเงินสด หากนำหุ้นที่ได้มาไปขายในกระดาน แต่หาก นักลงทุนมองเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัท แล้วถือหุ้นต่อในระยะยาว บางทีอาจได้ผลตอบแทนกลับมาที่คุ้มค่ากว่าที่คิด หากบริษัทสามารถ สร้างการเติบโตได้จริง
หุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเป็นหุ้นมีข้อเสีย คือ ไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้นักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ หากนักลงทุนอยากได้เงิน ก็ต้องนำหุ้นดังกล่าวไปขายเสียก่อน ซึ่งก็ต้องลุ้นอีกต่อ ว่า จะขายได้เมื่อไร แล้วจะขายได้ในราคาที่นักลงทุนคาดหวังหรือไม่
อย่างไรก็ตามเพื่อนๆ นักลงทุนอย่าลืมเช็กกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนด้วยนะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นการปันผลเป็นเงินสด หรือการเป็นผลเป็นหุ้น มีข้อดีทั้งคู่