ใครที่กำลังทำงานต่างประเทศ หรือมีรายได้จากต่างประเทศอยู่ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะในการจ่ายภาษีปีหน้า 2567 นี้ มีการเปลี่ยนเกณฑ์การเสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศใหม่ โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ตาม ACU PAY มาเลย
ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161/2566 มาให้ เป็นแนวทางการเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเหตุผลที่กรมสรรพากรวางแนวปฏิบัติใหม่นี้ เพราะต้องการให้ผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ต่างประเทศ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทยให้ชัดเจน เพื่อการจัดเก็บภาษีเป็นธรรมมากขึ้น
อนอื่น เรามาทำความรู้จักหลักการเก็บภาษีในประเทศไทยกันก่อน สำหรับการจัดเก็บภาษีในประเทศไทยนั้น มีการพิจารณาอยู่ 2 หลักเกณฑ์ คือ “แหล่งเงินได้” และ “ถิ่นที่อยู่” คือ
ถ้ามีเงินได้เข้ามา “ก่อน” ปี 2567 ผู้นั้นไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย แต่ถ้ามีเงินได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จะต้องเช็กตัวเองด้วยคำถาม 2 ข้อ นั่นคือ
ถ้าเช็กแล้ว ปรากฏว่าตัวเองทำไม่ครบสองข้อ นั่นแสดงว่า ตัวเรานั้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ เพราะยังไม่เข้าเกณฑ์เสียภาษี ในทางกลับกัน ถ้าเช็กแล้วตัวเรานั้นทำครบทั้งสองข้อ นั่นแสดงว่า ตัวเราต้องเสียภาษีเงินได้จากต่างประเทศ
ตัวอย่าง 1 :
ในปีภาษี 2566 – 2567 นาย A อาศัยในประเทศไทย มีเงินได้พึงประเมินจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในต่างประเทศ ในปีภาษี 2566 และมีเงินได้พึงประเมินจากปล่อยเช่าคอนโดในต่างประเทศ ในปีภาษี 2567 จนปีภาษี 2568 นาย A นำเงินได้ทั้ง 2 ทางกลับเข้าประเทศไทย
นาย A มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ต่างประเทศ แค่ในส่วนที่ปล่อยให้เช่าคอนโดเท่านั้น เพราะเป็นเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ในส่วนของเงินได้ที่มาจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารต่างประเทศ นาย A ไม่ต้องเสียภาษี
ตัวอย่าง 2 :
ในปีภาษี 2567 นาย B มีเงินได้พึงประเมินจากการทำงานในต่างประเทศ และนาย B อยู่ในประเทศไทยรวมกันถึง 180 วัน และนำเงินได้ที่เกิดขึ้นจากต่างประเทศ ในปีภาษี 2567 นาย B มีหน้าที่เสียภาษีให้ประเทศไทย เพราะถือว่าครบเงื่อนไขทั้งสองข้อ
แต่ถ้าหากนาย B ไม่ต้องการเสียภาษีในประเทศไทยในกรณีที่มีเงินได้ต่างประเทศ นาย B ต้องทำตามเงื่อนไขดังนี้
แต่ถ้าผู้มีเงินได้ถูกเก็บภาษีในประเทศแหล่งเงินได้ไปแล้ว และประเทศนั้นมีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทย สามารถนำภาษีที่ถูกเก็บไป มาใช้เป็นเครดิตภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในอนุสัญญาภาษีซ้อน
อนุสัญญาภาษีซ้อน เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ 2 ประเทศที่เจรจากันเพื่อแก้ปัญหาการเก็บภาษีเงินได้ซ้ำซ้อน เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงอาจมีการกำหนดความร่วมมือด้านภาษีระหว่างกันด้วย ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้ทำข้อตกลงกับทางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถึง 61 ประเทศ โดยเอาภาษีที่เสียไปแล้วกับประเทศต้นทาง มาเป็นเครดิตภาษี เพื่อลดภาระภาษีส่วนนี้ในไทยไป
ยกตัวอย่าง เช่น ครีเอเตอร์ที่มีเงินได้จากการขายสติกเกอร์ไลน์ ต้องเสียภาษีที่ประเทศญี่ปุ่น (รัฐแหล่งเงินได้) เมื่อเสียแล้วก็มาพิจารณาว่าอนุสัญญาภาษีซ้อนได้ระบุให้ประเทศไทยสามารถเก็บภาษีได้หรือไม่ ซึ่งถ้าอนุสัญญาภาษีไทย-ญี่ปุ่น กำหนดว่ากรณีลักษณะของค่าสิทธิ์อาจสามารถเก็บในรัฐที่มีแหล่งเงินได้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีที่ประเทศไทยอีก
แต่สำหรับประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทย ก็แปลว่า เรามีโอกาสเสียภาษีทั้งสองประเทศ ซึ่งก็ต้องนำมาพิจารณาต่อว่า เราได้อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีนั้น และมีการนำเงินได้เข้ามาหรือไม่นั่นเอง
อ้างอิงจาก