คริปโตเคอร์เรนซี เช่น บิทคอยน์ จะกลายเป็นสกุลเงินในอนาคตที่ถูกนำมาใช้จ่ายอย่างแพร่หลายหรือไม่ เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถยืนยันการแลกเปลี่ยนเงินได้โดยไม่ต้องมีตัวกลางอย่างสถาบันการเงินมาตรวจสอบความถูกต้อง และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถป้องกันการถูกโจรกรรม (hack) ข้อมูลได้ การชำระเงินแบบดิจิทัลจึงไม่ต้องทำผ่านสถาบันการเงินอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนสกุลเงินไม่ใช่เรื่องง่ายและมีข้อจำกัดข้อเสีย ดังนี้
กล่าวคือ ตราบใดที่มีสกุลเงินมากกว่าหนึ่งสกุลมาใช้จ่ายในประเทศ คนไทยทุกคนจะเผชิญกับความผันผวนของค่าเงิน ไม่ต่างจากผู้ส่งออกหรือนำเข้าที่มีรายได้ไม่คงที่ในแต่ละวัน เพราะค่าเงินบาทสามารถขึ้นลงได้ จึงไม่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เทียบกับกรณีที่ทุกคนในประเทศใช้จ่ายด้วยสกุลเงินเดียวกัน
กรณีจะทำให้ความผันผวนของการแลกเปลี่ยนเงินหายไป จะต้องทำให้ทุกคนในประเทศหันมาใช้สกุลเงินเดียวกัน เช่น ทุกคนต้องหันมาใช้บิทคอยน์ ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อ
ข้อจำกัดทั้ง 2 ข้อนี้ ทำให้การเปลี่ยนถ่ายสกุลเงินไปเป็นบิทคอยน์ทำได้ยากมาก มีเพียงธนาคารกลางหรือภาครัฐที่สามารถแก้ไขข้อจำกัดทั้งสองได้ เหมือนกับที่ธนาคารกลางยุโรปทำไว้ตอนที่กลุ่มประเทศสมาชิกหันมาเปลี่ยนใช้สกุลเงินยูโรในปี 2545 กล่าวคือ คงอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรให้คงที่กับ สกุลเงินประเทศท้องถิ่น เพื่อไม่ให้กระทบความมั่งคั่งของประชาชน ซึ่งหมายถึง ธนาคารกลางยุโรปสามารถแจกจ่ายเงินยูโรได้แบบไร้ขีดจำกัดเพื่อตรึงค่าเงินให้คงที่ และเมื่อประชาชนแลกเงินแล้วเสร็จก็ทำลายสกุลเงินท้องถิ่นทิ้งไปไม่ให้เหลืออยู่ในระบบ ทำให้ประเทศสมาชิกใช้จ่ายด้วยสกุลเงินยูโร
โดย stable coin มีหลายรูปแบบทั้งที่มีสินทรัพย์หนุนหลังและไม่มีหนุนหลัง ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะคงความมั่งคั่งได้หากสามารถตรึงค่าเงินได้คงที่ คำตอบคือ การจะตรึงค่าเงินให้คงที่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ก่อตั้งสกุลเงินใหม่ไม่สามารถพิมพ์เงินสกุลอื่นได้นอกจากสกุลเงินตัวเอง จึงเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสภาพคล่อง กล่าวคือ มีเงินอีกสกุลไม่พอให้แลกกลับ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถตรึงค่าเงินไว้ได้
นอกจากความน่าเชื่อถือของสกุลเงินแล้ว อัตราดอกเบี้ยคือ ตัวการสำคัญที่จะทำให้การบริหารสภาพคล่องของ stable coin มีปัญหา ดังนี้
หากสามารถเปลี่ยนสกุลเงินได้จริง เนื่องจากธนาคารกลางไม่สามารถควบคุมปริมาณเงินหรือสภาพคล่องของเงินคริปโตเคอร์เรนซีได้ จึงไม่สามารถกำหนดทิศทางนโยบายการเงินได้ ในกรณีดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งมีและมีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจขาดเสถียรภาพได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยจะสูงเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากต้องชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยจะต่ำเมื่อเศรษฐกิจดีเนื่องจากความเสี่ยงต่ำ พลวัตดังกล่าวจะทำให้เกิดวัฏจักรทางเศรษฐกิจที่ผันผวน กล่าวคือ ขาขึ้นก็โตร้อนแรง ขาลงก็หดตัวรุนแรง จนอาจเกิดวิกฤตได้
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่มีเทคโนโลยีที่สามารถแลกเปลี่ยนเงินโดยไม่ต้องมีตัวกลางทางการเงิน ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถสร้างสกุลเงินใหม่มาทดแทนของเก่า โดยที่เพิกเฉยต่อความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจการเงิน ข้อจำกัดและข้อเสียที่ทุกคนต้องรู้ เพื่อตัดสินเองว่า คริปโตเคอร์เรนซีจะสามารถเป็นสกุลเงินสำหรับอนาคตได้จริง หรือจะเป็นเพียงรูปแบบการเก็งกำไรค่าเงินที่ไม่ต่างกับการพนันนั่นเอง
ดร. สรา ชื่นโชคสันต์
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค
คอลัมน์ “แจงสี่เบี้ย” นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับที่ 13/2565 วันที่ 5 ก.ค. 2565
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย