ปราสาทเอดินบะระ หนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Times ที่นี่ถูกก่อสร้างขึ้นในช่วงยุคศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่บนหินผาพร้อม ทิวทัศน์อันงดงามของสกอตแลนด์ แต่ใครจะไปรู้ว่าภายในปราสาทนั้น มีคุกขังนักโทษ และรอบปราสาทถูกใช้เป็นที่ฝังศพของผู้ตายจากโรคระบาด เต็มไปด้วยความตายรายล้อม เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่อง ตำนานมือกลองหัวขาด ที่นักท่องเที่ยวมักได้ยินเสียงกลองน่าขนลุกดังก้องไปทั่วห้องต่าง ๆ และยังมีตำนาน Lady Glamis ที่ถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าลูกชายของเธอเอง ในปี 1537 ด้วยข้อหาแม่มด ซึ่งวิญญาณของเธอยังคงวนเวียน ทวงถามความยุติธรรมที่ควรได้รับ นักท่องเที่ยวมักพบเห็นร่างวิญญาณของเด็กสาวสวมชุดสีน้ำเงินเดินเตร่อยู่ในห้องโถงของปราสาท
ในปี 2001 เคยมีการทดลองโดยคัดเลือกอาสาสมัคร 240 คน ที่ไม่เคยมาที่ปราสาทเอดินบะระ และไม่ทราบถึงประวัติของที่นี่ ให้มาอยู่อาศัยในปราสาทเป็นเวลา 10 วัน ผลก็คือผู้เข้าร่วมทุกคนล้วนแล้วแต่เจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ความรู้สึกอึดอัดคล้ายถูกจ้องมองอยู่ตลอดจากมุมมืด เงาที่ปรากฏอยู่ตามห้องขัง และความรู้สึกคล้ายถูกเผาไหม้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ปราสาทลีปขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทที่น่ากลัวที่สุดในไอร์แลนด์ ปราสาทแห่งนี้คาดว่าสร้างในช่วงศตวรรษที่ 13 – 15 ในเขตชนบทเมือง Coolderry โดยกลุ่ม O’Bannon ภายหลังมีการค้นพบว่าในตัวปราสาทเต็มไปด้วยด้านมืดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องขังใต้ดิน ประตูกับดักเปิด-ปิดได้ ที่มีแท่งเหล็กแหลมรอคอยเหยื่อผู้โชคร้ายที่ตกลงมา นอกจากนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์มากมายกว่า 150 ร่าง การค้นพบที่ชวนให้สยองนี้เอง ที่ทำให้ปราสาทลีปกลายมาเป็นหนึ่งในปราสาทน่าขนลุกแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียว
โดยปราสาทแห่งนี้ได้มีเหตุการณ์ชวนสยองขึ้นมากมาย หนึ่งในเหตุการณ์นั้น คล้ายกับฉาก Red Wedding ในซีรีส์ชื่อดังอย่าง Games of Thrones จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ พบว่าในช่วงนั้นเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในตระกูล O’Carroll ได้มีการว่าจ้างทหารรับจ้างมาช่วยในการต่อสู้กับคู่แข่งในการช่วงชิงอำนาจ เมื่อได้รับชัยชนะพวกเขาได้เชิญเหล่าทหารรับจ้าง 40 คน มาเฉลิมฉลองภายในปราสาท ทั้งหมดดื่มกินอย่างสำราญแต่กว่าที่จะรู้ตัวว่าถูกลอบวางยาพิษก็สายไปเสียแล้ว การฆาตกรรมหมู่นี้เกิดขึ้นเพราะตระกูล O’Carroll ไม่ต้องการชำระค่าจ้างตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ จนทำให้สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “Bloody Chapel” หรือ “โบสถ์เปื้อนเลือด”
ลึกเข้าไปในรัฐราชสถานตรงตีนเทือกเขาอราวลี มีซากเมืองป้อมปราการถูกทิ้งร้างในสมัยศตวรรษที่ 17 สร้างขึ้นโดย Bhaawant Das เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับบุตรชาย Madho Singh ในช่วงเวลานั้น ป้อมปราการเต็มไปด้วยเมืองที่พลุกพล่าน แต่ในที่สุดก็ถูกปล่อยทิ้งร้างในที่สุด สิ่งนี้เองที่ทำให้หลายคนเชื่อว่าป้อมปราการนี้มีคำสาป
มีตำนานกล่าวว่าพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่บนยอดเขาที่ใกล้ที่สุด ยอมให้สร้างป้อมปราการโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่บดบังสถานที่อธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ป้อมแห่งนี้ได้รับพรแห่งการปกป้อง แต่ผู้เป็นลูกกลับไม่ได้สนใจสัญญานี้ เขาตั้งหน้าตั้งตาก่อสร้างต่อเติมป้อมปราการหลังจากที่บิดาเสียชีวิตจนบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พรที่ได้รับแปรเปลี่ยนกลายเป็นคำสาปแช่งในที่สุด
ที่นี่ถือเป็นสถานที่ที่มีผีสิงมากที่สุดในอินเดีย โดยสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เชื่อว่าห้ามเข้าหลังพระอาทิตย์ตกดินโดยเด็ดขาด ชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงได้บอกเล่าถึงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ หัวเราะ หรือบางครั้งก็มี เสียงดนตรี ใครที่โชคไม่ดีก็ถูกสิ่งที่มองไม่เห็นในป้อมทำร้ายอีกด้วย
ปราสาทฮิเมจิมีความเก่าแก่กว่า 600 ปี เป็นสุดยอดป้อมปราการปราสาทที่สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นในช่วยุค 1400 โดยเป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อใช้ป้องกันทิศตะวันตกของเมืองเกียวโต พร้อมอาคารมากกว่า 80 หลัง เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางคดเคี้ยวเป็นเขาวงกต ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลก แต่นอกจากความสวยงามนั้น ปราสาทแห่งนี้ยังมีเรื่องราวโศกนาฏกรรมชวนสยองของเรื่องผีขึ้นชื่อของญี่ปุ่น “ผีนับจาน” Sarayashiki หรือ “โอคิคุ”
เรื่องเล่าว่า โอคิคุ เป็นสาวใช้ของซามูไรชื่อ อาโอยามะ ด้วยหน้าตาของโอคิคุที่สวยงามทำให้เขาหลงชอบและต้องการได้เธอเป็นภรรยาน้อย จึงวางแผนด้วยการนำชุดจานราคาแพงจากต่างประเทศจำนวน 10 ใบมาให้โอคิคุเป็นคนดูแล วันหนึ่งเขาจึงนำจานหนึ่งใบไปซ่อน แล้วสั่งให้โอคิคุนำชามทั้ง 10 ใบมาให้ เมื่อโอคิคุไม่สามารถหาได้ครบ อาโอยามะจึงกล่าวโทษว่าเธอทำงานบกพร่อง ดูแลของสำคัญไม่ดี พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอว่าหากเธอยอมเป็นภรรยาน้อย เขาก็จะยอมยกโทษให้
โอคิคุเลือกรักษาเกียรติของตนเองมากกว่าจึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว พร้อมทั้งกระโดดลงไปในบ่อน้ำเพื่อจบชีวิตตนเอง บ้างก็เล่าว่า อาโอยามะโมโหเธอมากที่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา จึงสังหารเธอเองแล้วโยนศพลงบ่อน้ำ หลังจากที่โอคิคุเสียชีวิตก็จะมีเสียงนับจานช้า ๆ บริเวณรอบบ่อน้ำจนถึงใบที่ 9 และร้องไห้โหยหวนเป็นประจำทุกค่ำคืน จนกระทั่งอาโอยามะเสียสติและเป็นบ้าในที่สุด
ปราสาทเก่าทรงยุโรปที่อดีตเป็นที่พักของเจ้าของที่ชาวสกอตแลนด์ ภายในปราสาทถูกสร้างขึ้นอย่างซับซ้อน มีห้อง และทางเดินลับมากมาย คล้ายกับ บ้านผีสิงวินเชสเตอร์ ที่อเมริกา ปราสาทนี้เริ่มสร้างในปี 1910 โดย วิลเลียม เคลลี-สมิธ (William Kellie-Smith) เพื่อมอบให้เป็นของขวัญให้กับภรรยา
แต่ยังไม่ทันเสร็จเจ้าของก็ด่วนจากไปเสียก่อนในปี 1926 ภรรยาของเขาเสียใจมากเลยหนีไปจากมาเลเซีย การสร้างจึงหยุดชะงักและรกร้างในที่สุด แม้ปราสาทแห่งนี้จะเป็นสถานที่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในมาเลเซีย แต่ในช่วงกลางคืนผู้คนมักได้ยินเสียงกรีดร้อง และเสียงบานประตูปิดดังทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ หรือแม้แต่เห็นวิญญาณของ เคลลี-สมิธ อยู่บนชั้น และลูกสาวที่จากไปนานแล้วในห้องของเธอ
ให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นวันดีๆ ไปกับเรา MAKE A GREAT DAY WITH ACU PAY