fbpx
Search
Close this search box.

6 ประเภทภาษี ที่ผู้เริ่มต้นธุรกิจควรรู้

ผู้ประกอบการทุกท่าน ก่อนที่จะประกอบกิจการ มีบริษัทเป็นของตัวเอง แน่นอนย่อมมีกฎหมายเรื่องภาษี เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม เรามารู้จัก 6 ประเภทภาษี ที่ควรรู้ ดังนี้

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

หน้าที่ของพลเมืองประเทศไทย ผู้ที่มีรายได้ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมมีหน้าที่เสียภาษี โดยปกติแล้วผู้ที่เสียภาษี แสดงรายการของตนเองทุกกำหนดภายในเดือนมกราคม ถึงมีนาคม ของปีถัดไป แต่บางกรณีก็ต้องเป็นการเสียภาษีตอนครึ่งปี สำหรับรายได้ที่เกิดในช่วยครึ่งปีแรก หรืออาจมีการจ่ายแบบหักภาษี ณ ที่จ่ายร่วมด้วย เพื่อให้มีการทยอยชำระได้แต่สามารถขอคืนตามปกติเช่นกันในกรณี เลี้ยงดูบิดามารดา , บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา , อุปการะคนพิการและทุพลภาพ ไปจนถึงเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญด้วย ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม

ภาษีประเภทนี้ เป็นส่วนที่กฎหมายกำหนดให้เรียกเก็บจากนิติบุคคลในการจ่ายภาษี ปกติแล้ว จะเป็นกลุ่มคนที่มีการจดทะเบียนธุรกิจในรูปแบบบริษัท ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแบบนิติบุคคลและไม่ได้จด วิสาหกิจชุมชน และรวมถึงผู้เริ่มต้นธุรกิจอย่างเราด้วยในอนาคต ถ้าอยากขยับขยายกิจการให้ใหญ่โต โดยแบบแสดงภาษีเงินได้นั้น จะเป็นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 50 เพื่อตัดรอบบัญชีที่จะต้องยื่นใน 150 วัน เมื่อมีการปิดระบบบัญชีในบริษัท และอีกแบบคือ ภ.ง.ด. 51 ที่จะต้องยื่นมาในระยะเวลา 2 เดือน หลังรอบบัญชีภาษีครึ่งปีด้วย. โดยภาษีแบบนี้ จะมีการเก็บเมื่อกิจการของเรามีอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 5-35 % ตามรอบปฎิทิน และผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบนี้ต้องมีรายได้ถึงเกณฑ์ ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี โดยยื่นในวันที่ 31 มีนาคมปีถัดไปเสมอ

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ตามกฎหมายภาษีอากร ประมวลรัษฎากร เมื่อเราทำธุรกิจธรรมดา ทั้งแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ก็จะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ รวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ แม้ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายเพิ่งและพาณิชย์ก็ตาม หรือบริษัทจำกัด และบริษัทจำกัด มหาชน. ภาษีแบบนี้จะมีการจัดเก็บในอัตราคงที่เสมอ ปัจจุบันมีกำหนดอยู่ที่ 20 % และสามารถให้มีการขอทำการลดหย่อนสำหรับผู้ทำธุรกิจ SMEs และรอบบัญชีธุรกิจคือ 1 ปี โดยผู้ที่ต้องทำการยื่นภาษีประเภทนี้มักเป็นนิติบุคคลที่ทำธุรกิจประเภทบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน และมีระยะเวลาในการยื่น 150 วันตั้งแต่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เพื่อคำนวนกำไรสุทธิจากกิจการของตนเอง แล้วหักตามรายจ่ายที่ระบุในเงื่อนไข มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี โดยมีการคำนวนภาษีตาม ยอดรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย , เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศ และการจำหน่ายกำไรไปนอกประเทศ เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีประเภทนี้ แค่เขียนก็ดูจะอ่านยาก หรือเหมือนภาษากฎหมายแล้ว แต่จริงๆแล้ว เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะมันคือภาษีที่จะ ‘ถูกหักไว้ล่วงหน้า’ และนับเป็นเครดิตด้านภาษีสำหรับผู้ถูกหักด้วย และมีหลักฐานการเงินที่รับรองด้วย หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้คืนมา ส่วนบุคคลที่ทำหน้าที่ในการหักภาษี ก็คือ ผู้ที่ทำการจ่ายเงิน และผู้ถูกหักภาษี ก็คือ ผู้รับเงิน โดยอาจนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. 3 เมื่อจ่ายกับบุคคลธรรมดา และแบบ ภ.ง.ด. 53 เมื่อหักกับนิติบุคคล ส่วนผู้เริ่มต้นธุรกิจอย่างเรายังสามารถทำการยื่นขอคืนภาษีในประเภทนี้ได้อีกด้วย โดยที่กฎหมายจะกำหนดว่า ถ้ากิจการของเราหรือคู่ค้า ได้ซื้อของ เราจะหักภาษีไว้เมื่อมีการจ่ายเงินได้ตามแต่ละประเภท และอ้างอิงจากอัตราภาษีที่มีการกำหนดไว้ด้วย

ภาษีแบบนี้ เราน่าจะทำความคุ้นเคยเพิ่มเติม เพราะมีหน้าที่ของผู้ประกอบการสำหรับจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากเรา , ออกใบกำกับภาษี อาจในรูปแบบกระดาษ หรืออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ , จัดทำรายงาน ภาษีซื้อและภาษีขาย แล้วต้องทำการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรอีกด้วย

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

คุ้นเคยกันดีในคำว่า VAT หรือเรียกได้ว่าใกล้ตัวมาก ทุกครั้งที่เราซื้อสินค้า ไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ ก็จะต้องจ่ายภาษีประเภทนี้ออกไปแบบอัตโนมัติเลยด้วย โดยมีอัตราที่ใช้ 7 %  ทั้งภาษีซื้อและภาษีขาย แต่สำหรับผู้ประกอบการลักษณะเรานั้น ภาษีนี้ จะเก็บจากมูลค่าในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากคนทำธุรกิจ หรือเมื่อให้บริการต่างๆ โดยผู้มีหน้าที่หลักในการเสียภาษีส่วนนี้ ยังรวมถึง ผู้ประกอบการทุกคน ผู้นำเข้าสินค้าเพื่อการค้า การขายปลีก  ผู้ส่งออก ผู้ผลิต และผู้ให้บริการด้วยเช่นกัน และรายได้ที่กำหนดต่อปีคือ ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทหรือมากกว่านั้น จะต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 หากเป็นผู้ประกอบการในไทย และ ภ.พ. 36 กรณีเป็นเซิร์ฟเวอร์หรือซอฟท์แวร์ในต่างประเทศ ส่งในทุกๆ วันที่ 15 ของเดือนถัดไปเสมอ และอยู่ในข้อกำหนดไม่ว่าจะมีการจดทะเบียนแบบนิติบุคคล หรือแบบบุคคลธรรมดาด้วย

อากรแสตมป์

ไม่ใช่แสตมป์ที่ใช้ส่งจดหมายนะ หรือเรียกง่ายๆ ทุกครั้งที่มีการทำเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย จะมีอากรตัวนี้เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ระหว่างกันใน 28 ลักษณะ เช่น การเช่าที่ การเช่าซื้อ หรือกู้ยืมเงินตามบัญชีอากรแสตมป์ โดยใช้การขีดฆ่าเพื่อแสดงไว้ หรือลงลายมือชื่อ จะเป็นภาษีแบบที่มีการจัดเก็บโดยดวงแสตมป์ที่ใช้ในเอกสารราชการ ปิดบนหนังสือสัญญา หรือเอกสารต่างๆ แล้วหน่อยงานของกรมสรรพกากรก็จะเข้ามารับผิดชอบ และเอกสารที่จำเป็นเกี่ยวข้องอาจรวมถึงเรื่อง การเช่าที่ดิน การว่าจ้างทำสิ่งของ ใบมอบอำนาจ หรือหนังสือเช่าทรัพย์สิน เป็นต้น และมักจะมีการกำหนดแนบท้ายสัญญาด้วยแบบฟอร์มตามกฎหมาย เพื่อให้สัญญานั้นๆสมบูรณ์

ภาษีธุรกิจเฉพาะและอื่นๆ

เพราะการทำธุรกิจแต่ละอย่างก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แม้จะมีภาษีแบบที่เก็บจากธุรกิจที่ขายสินค้า หรือกับธุรกิจด้านการบริการ มองผ่านๆ อาจดูเหมือนเสียภาษีลักษณะเดียวกัน แต่จริงๆ กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันมากอยู่ด้วย มีภาษีที่ต้องจ่ายด้วยกันอาจถึง 4 ประเภท และมีภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน สำหรับภาษีแบบนี้

หลักในการเสียภาษีแบบธุรกิจเฉพาะ จะอยู่ในส่วนของกิจการ หรือบริการเกี่ยวกับ การธนาคาร ทั้งแบบธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะ  ธุรกิจประภทเงินทุน หลักทรัพย์ ฟองซิเอร์  การประกันชีวิต ตลอดจน โรงรับจำนำ หรือการดำเนินธุรกิจแบบธนาคารพาณิชย์อย่าง การกู้ยืมค้ำประกัน การแลกเปลี่ยนเงินตรา ตั๋วเงิน หรือธุรกิจสตาร์ทอัพแบบฟินเทค เป็นต้น แบบในการยื่นภาษีก็คือ ภ.ธ.40 ต้องเสียภาษีรวม 3.3% จากอัตราภาษีท้องถิ่นและยื่นภายใน 15 วันของเดือนถัดไปด้วย

ยังมีภาษีประเภทอื่นๆ ที่ควรทำความเข้าใจ อาจเป็นลักษณะของธุรกิจ เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ในอัตรา 12.5 % ต่อปี  , ภาษีจากการเก็บค่าเช่า หรือค่าบริการจากทรัพย์สิน , ภาษีป้ายขนาดใหญ่ตามตัวอักษรไซส์ต่างๆ และภาษาบนป้าย เริ่มต้นที่ 200 บาท แต่ก็มีป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีที่ยื่นต่อสำนักงานเขตแล้ว ไปจนถึงภาษีสรรพสามิต กับธุรกิจฟุ่มเฟือยที่อาจให้โทษกับประชาชน เช่นยาสูบ สุรา เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่