สร้างความตกใจและสับสนไม่น้อย เมื่อกรมสรรพากรได้เปิดรับฟังความคิดเห็น พ.ร.ก. ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526 หรือเรียกว่า ภาษีเก็บค่าเดินทางออกนอกประเทศ โดยคนไทยต้องจ่ายคนละ 1,000 บาท ไม่ว่าจะเดินทางอากาศ บก หรือทางน้ำ ซึ่งภายหลังทางกรมสรรพากรได้ออกมาระบุแล้วว่าเป็นเพียงแค่เปิดรับฟังความเห็นธรรมดา ไม่ได้จะบังคับใช้แต่อย่างใด วันนี้เรา ACU PAY จะมาสรุปและพามาทำความรู้จักกับ พ.ร.ก. ฉบับนี้โดยคร่าว ๆ ว่ากฎหมายนี้มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงต้องเปิดสอบถามกันนะ
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เป็นกฎหมายเก่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 มีเงื่อนไขเก็บภาษีจากการเดินทางออกนอกประเทศจาก
1. ผู้ที่มีสัญชาติไทย หรือ คนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในไทย 2. มีการเดินทางออกจากประเทศไทย (เก็บเฉพาะขาออก)
แต่มีข้อยกเว้นให้บางกลุ่ม โดยกำหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้สูงสุดไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท แต่มีการลดให้ตามกฎกระทรวงตามนี้ ครั้งละ 1,000 บาทต่อคน สำหรับการเดินทางโดยทางอากาศ และครั้งละ 500 บาทต่อคน สำหรับการเดินทางโดยทางบกหรือทางนํ้า
กรณีหลีกเลี่ยงการเสียภาษี บุคคลธรรมดาจะได้รับโทษ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าและเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือน โดยไม่รวมเบี้ยปรับและยังมีโทษทางอาญา จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 พันบาท ส่วนผู้ประกอบการที่รับชําระภาษีจากผู้เสียภาษีแล้วไม่นําส่งภาษี ต้องรับโทษเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าและเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือน โดยไม่รวมเบี้ยปรับ ทั้งนี้ พ.ร.ก ฉบับนี้ได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีอากรตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2534 เป็นต้นมา
จนเมื่อวันที่ 3 – 17 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น เกี่ยวกับ พ.ร.ก.การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 ขึ้น โดยกรมสรรพากรกล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นนี้ ไม่ได้เป็นการถามเพื่อจะดำเนินการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด เป็นแค่การถามเพื่อประเมินผลเท่านั้น และหากรับฟังความคิดเห็นแล้วพบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้จัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร กรมสรรพากรต้องไปประเมินผลนั้นอีกครั้งว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวนี้ เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งเท่านั้นของการประเมินผลสัมฤทธิ์ แต่ยังมีข้อมูลชุดอื่นๆ ที่จะนำมาพิจารณาประกอบว่า กฎหมายที่ออกไปแล้วมีความเหมาะสมหรือไม่
ซึ่งการนำ พ.ร.ก ฉบับนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกๆ 5 ปี เพื่อไม่ให้กฎหมายที่ออกมาบังคับใช้มีจำนวนเยอะจนเกินไป และหากกฎหมายไม่เหมาะสม ก็จะมีการยกเลิกกฎหมายนั้นไป
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการนำกฎหมายออกมาประเมินผลสัมฤทธิ์นั้น กรมสรรพากรจะมีคณะกรรมการคัดเลือกตามกำหนดของกฎหมายตามรอบปีบัญชีและจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรายงานว่า หน่วยงานไหนมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างที่จะต้องประเมินผลสัมฤทธิ์ ซึ่งกรมสรรพากรก็จะทยอยดำเนินการประเมินตามกฎหมาย โดยภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรถือเป็นกฎหมายแรกในปี 2566 ที่นำออกมาเปิดรับฟังข้อคิดเห็น