หลายคนที่มีความคิดอยากจะซื้อคอนโด ก็อาจสงสัยและไม่มั่นใจว่าถ้าจะมีคอนโดใหม่สักหลัง เราต้องมีค่าใช้จ่ายอย่าง ภาษีที่ดินหรือไม่ ครั้งนี้ ACU PAY จะมารวบรวมคำตอบคลายข้อสงสัยเรื่องภาษีที่ดินกัน
ภาษีที่ดินและคอนโด หรือภาษาทางกฎหมายเรียกว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มักจัดเก็บเป็นรายปีตามราคาประเมินของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงลดการเก็งกำไรที่ดิน
ซึ่งภาษีนี้มีการเริ่มบังคับใช้ในปี 2562 และเริ่มเก็บภาษีในปี 2563 แต่ช่วงโควิด-19 ระบาดในปี 2563 – 2564 ได้มีการปรับลดการจัดเก็บลง 90 % เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้เสียภาษี และได้กลับมาเก็บภาษีตามอัตราเดิม แต่ยังมีการลดภาษีอยู่บ้างในบางกรณี
บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงห้องชุด และคอนโด ไม่ว่าจะครอบครองเพื่อพักอาศัย หรือปล่อยเช่าก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐในช่วงนั้น
บางคนอาจสับสนว่าถ้าเช่าคอนโดเพื่ออยู่อาศัย จะต้องเสียภาษีหรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่ต้องเสีย’ เพราะผู้ที่ทำหน้าที่เสียภาษีในกรณีนี้คือเจ้าของคอนโดที่ปล่อยให้เช่านั่นเอง
การคำนวณภาษีคอนโด นอกจากต้องใช้มูลค่าคอนโดมิเนียมเป็นเกณฑ์แล้ว ยังแบ่งเกณฑ์การคำนวณตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น การถือครองกรรมสิทธิ์เพื่อพักอาศัย หรือ เพื่อปล่อยเช่า โดยแบ่งการคำนวณ ดังนี้
ถ้าเป็นผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมหลังแรกและยังมีชื่อในทะเบียนบ้าน โดยมีมูลค่าคอนโดมิเนียมไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษีคอนโดทันที แต่หากเป็นคอนโดมิเนียมหลังแรกที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน แต่มูลค่าคอนโดมิเนียมเกินกว่า 50 ล้านบาท จะต้องนำมูลค่าส่วนที่เกินไปคำนวณอัตราภาษีตามเกณฑ์ ดังนี้
มูลค่าคอนโดมิเนียม | อัตราภาษี |
0 – 50 ล้านบาท | ได้รับการยกเว้นภาษี |
50 – 75 ล้านบาท | 0.03% |
75 – 100 ล้านบาท | 0.05% |
100 ล้านบาทขึ้นไป | 0.10% |
ตัวอย่างวิธีคำนวณภาษีคอนโดหลังแรก กรณีมูลค่าคอนโดมิเนียม 75 ล้านบาท คือ
มูลค่าคอนโดมิเนียม 75 ล้านบาท – มูลค่าคอนโดมิเนียม 50 ล้านบาทที่ไม่ต้องเสียภาษี = ส่วนต่าง 25 ล้านบาท
จากนั้นให้นำส่วนต่าง 25 ล้านบาท x 0.03% เท่ากับว่าในปีภาษีนั้น ผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมจะต้องเสียภาษีคอนโด 7,500 บาท
สำหรับคนที่ครอบครองคอนโดมิเนียมมากกว่า 1 แห่ง โดยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีคอนโด และต้องชำระภาษีคอนโดตามเกณฑ์ ดังนี้
มูลค่าคอนโดมิเนียม | อัตราภาษี |
0 – 50 ล้านบาท | 0.02% |
50 – 75 ล้านบาท | 0.03% |
75 – 100 ล้านบาท | 0.05% |
100 ล้านบาทขึ้นไป | 0.10% |
ตัวอย่างวิธีคำนวณภาษีคอนโดหลังที่สองเป็นต้นไป กรณีมูลค่าคอนโดมิเนียม 30 ล้านบาท คือ
มูลค่าคอนโดมิเนียม 30 ล้านบาท x 0.02% เท่ากับว่าในปีภาษีนั้น ผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมจะต้องเสียภาษีคอนโด 6,000 บาท
การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าจำเป็นต้องเสียภาษีคอนโดเช่นกัน และจะต้องเสียภาษีคอนโดในอัตราภาษีที่สูงกว่าการซื้อเพื่อพักอาศัย ดังนี้
มูลค่าคอนโดมิเนียม | อัตราภาษี |
0 – 50 ล้านบาท | 0.3% |
50 – 200 ล้านบาท | 0.4% |
200 – 1,000 ล้านบาท | 0.5% |
1,000 – 5,000 ล้านบาท | 0.6% |
5,000 ล้านบาทขึ้นไป | 0.7% |
ตัวอย่างวิธีคำนวณภาษีคอนโดสำหรับปล่อยเช่า กรณีมูลค่าคอนโดมิเนียม 200 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้จะต้องเสียภาษีจำนวน 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 นำมูลค่าคอนโดมิเนียม 50 ล้านบาทแรก x 0.3% ผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมจะต้องเสียภาษีคอนโดขั้นแรก 150,000 บาท
ขั้นที่ 2 นำมูลค่าคอนโดมิเนียมส่วนที่เหลือ หรือในกรณีนี้ คือ 150 ล้านบาท x 0.40% ผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมจะต้องเสียภาษีคอนโดขั้นที่สอง 600,000 บาท
ดังนั้น ในปีภาษีนั้นๆ ผู้ครอบครองคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า ต้องเสียภาษีคอนโด 150,000 + 600,000 = 750,000 บาท
ภาษีที่ดินและคอนโดจะต้องชำระในรูปแบบรายปี และจะมีหนังสือแจ้งภาษีในเดือนกุมภาพันธ์ และต้องชำระภายในเดือนเมษายน แต่สามารถเลือกผ่อนชำระได้โดยต้องแจ้งความประสงค์ และจะได้รับอนุญาตให้แบ่งจ่ายเป็น 3 งวด ได้แก่
อย่างไรก็ตาม อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ต้องติดตามรายละเอียด
ถ้าไม่มีการชำระภาษีที่ดินและคอนโดตามจำนวนที่กรมที่ดินแจ้งไปยังเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะมีการส่งหนังสือแจ้งเตือนไปให้ผู้ค้างชำระภาษี และจะต้องเสียค่าปรับตามอัตราที่กรมที่ดินกำหนด รวมถึงเสียผลประโยชน์บางข้อ อย่างเช่น