fbpx
Search
Close this search box.

มีเงิน 10,000 บาท ก็ลงทุนได้
ปี 2566 ลงทุนอะไร ออมเงินแบบไหนดี?

คงมีคำถามว่า ถ้าเรามีเงินแค่ 10,000 บาท จะเอาไปทำอะไรได้? วันนี้เรามาทางเลือกให้ทุกคนได้ลองทำตามดูว่า 10,000 บาท ทำให้งอกเงยแบบไหนบ้าง

เลยแจกแจงออกมาเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

กลุ่ม “ใจไม่กล้าพอ ขอความเสี่ยงต่ำ”

1. ฝากเงินในบัญชีดอกเบี้ยสูง

สำหรับคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้เลย และไม่อยากให้เงินต้นหาย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการฝากเงินไว้กับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง ๆ ซึ่งมีทั้งเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ เพื่อรับอัตราดอกเบี้ย 1.50-3% ต่อปี โดยหากฝากเงินไว้ 10,000 บาท และไม่ถอนเงินออกมาเลย จะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ ดังนี้

  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 150 บาท
  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 250 บาท
  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 300 บาท

 แม้ดอกเบี้ยที่รับมาจะดูเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี ก็ยังถือว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่านะคะ ใครยังไม่รู้ว่าจะเปิดบัญชีแบงก์ไหนดี เรารวบรวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงมาให้เลือกกัน

ข้อดี : เงินต้นไม่หาย ไม่ขาดทุน ฝาก-ถอนได้ทุกเมื่อ และได้รับดอกเบี้ยตามกำหนด

ข้อเสีย : ผลตอบแทนน้อย

2. สลากออมทรัพย์

เป็นวิธีออมเงินที่เงินต้นยังอยู่ครบเช่นกัน แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงมาก แต่มีดีตรงที่ได้ลุ้นโชคทุกงวด ซึ่งหากดวงดีถูกรางวัลขึ้นมา ผลตอบแทนจะยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีมีเงินลงทุนเพียง 10,000 บาท คงซื้อสลากออมทรัพย์ได้ไม่ครบวงจรที่จะถูกรางวัลขั้นต่ำทุกงวดนะคะ ดังนั้นบางงวดอาจจะไม่ถูกรางวัลเลย อยู่ที่ดวงล้วน ๆ ทีนี้ลองมาดูกันว่า ในงบประมาณเท่านี้ เราสามารถซื้อสลากออมทรัพย์ของธนาคารไหนได้บ้าง

  • สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี หน่วยละ 20 บาท : ซื้อได้ 500 หน่วย เมื่อฝากครบ 1 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ถ้าซื้อชุดนี้ต้องลุ้นถูกรางวัลสถานเดียว โดยรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 3 ล้านบาท
  • สลากออมสินพิเศษ 2 ปี หรือสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี หน่วยละ 100 บาท : ซื้อได้ 100 หน่วย เมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 15 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท
  • สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. 2 ปี หน่วยละ 50 บาท : ซื้อได้ 200 หน่วย ฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 14 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 5 ล้านบาท
  • สลากออมทรัพย์ทวีสิน ชุดเกษตรมั่นคง 4 หน่วยละ 500 บาท : ซื้อได้ 20 หน่วย เมื่อฝากครบ 3 ปี จะได้ดอกเบี้ย 100 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 20 ล้านบาท
  • สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด ต่อเงินต่อทอง หน่วยละ 10,000 บาท : ซื้อได้ 1 หน่วย ฝากครบ 3 ปี ได้ดอกเบี้ย 150 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท
  • สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด เกล็ดดาว Plus หน่วยละ 5,000 บาท : ซื้อได้ 2 หน่วย ฝากครบ 2 ปี ได้ดอกเบี้ย 130 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท

ข้อดี : เงินต้นไม่หาย (ถ้าไม่ไถ่ถอนก่อน 3 เดือน) และยังได้ลุ้นรางวัลตลอดระยะเวลาฝาก เงินรางวัลไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย

ข้อเสีย : ถ้าไม่ถูกรางวัลเลยจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ดิจิทัลหรือฝากประจำ

3. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์

พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง เพื่อกู้เงินจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว ๆ 2-4% ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ยิ่งเป็นพันธบัตรที่มีอายุนาน ๆ ก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยสูง

ข้อดี : เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง

ข้อเสีย : ผลตอบแทนไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับอายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้รับยังต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

กลุ่ม “รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง”

1. หุ้นกู้

หุ้นกู้ หรือ Corporate Bond คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท โดยหุ้นกู้แต่ละชุดจะกำหนดอายุและอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3-7% ต่อปี ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอันดับเรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หากเป็นบริษัทใหญ่ มีเครดิตระดับ A ขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่า แต่ก็ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าบริษัทที่ได้เครดิตระดับ B

แล้วเงินจำนวน 10,000 บาท สามารถซื้อหุ้นกู้ได้ไหม ? ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่หุ้นกู้มักจะเปิดจองขั้นต่ำที่ 100,000 บาทค่ะ นาน ๆ ทีถึงจะมีหุ้นกู้ที่เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำได้ที่ 1,000 บาทขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ดิจิทัลที่จำหน่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถ้าใครสนใจลงทุนก็ต้องคอยติดตามข่าวการออกหุ้นกู้ ถึงจะซื้อได้ทัน

ข้อดี : ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2-4 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับหุ้นกู้แต่ละชุด)

ข้อเสีย : มีโอกาสได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยล่าช้ากว่ากำหนด หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปจนถึง AAA เพราะแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงและผลประกอบการดี

2. กองทุนรวม

 กองทุนรวม คือ การระดมเงินจากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ โดยผู้ซื้อจะได้รับหน่วยลงทุน และมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล หากกองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ กองทุนรวมมีหลายประเภท เรียงตามลำดับความเสี่ยงและการลงทุน เช่น

  • กองทุนรวมตลาดเงิน : เน้นลงทุนในเงินฝากของธนาคาร หรือตราสารหนี้ระยะสั้น จึงมีความเสี่ยงต่ำ สามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่จะได้รับเงินในอีก 1 วันทำการที่สั่งขายหน่วยลงทุน
  • กองทุนรวมตราสารหนี้ : ลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น-ยาว ลงทุนในประเทศ-ต่างประเทศ ลงทุนในพันธบัตรของรัฐ-หุ้นกู้เอกชน รวมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีระดับเครดิตแตกต่างกัน ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนแต่ละแห่งแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 0.50-3% ต่อปี และมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน 
  • กองทุนรวมตราสารทุน : ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีความเสี่ยงสูงพอสมควรที่จะขาดทุน สูญเสียเงินต้น ทว่าก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน โดยมีให้เลือกลงทุนหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมในประเทศ ต่างประเทศ กองทุนที่อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี กองทุนรวมตามธีม เช่น เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเภทมีอัตราความเสี่ยงและผลตอบแทนแตกต่างกันไป
  • กองทุนรวมผสม : เน้นลงทุนในทรัพย์สินหลากหลาย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือตราสารอื่น ๆ ตามสัดส่วนที่กองทุนรวมกำหนด
  • กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก : เน้นลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน ซึ่งราคาผันผวนกว่าหุ้น มีโอกาสขาดทุนได้สูงมาก แต่ถ้าจับจังหวะดี ๆ ก็มีโอกาสทำกำไรได้มากเช่นกัน

เดี๋ยวนี้เราสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถซื้อผ่านธนาคารได้เกือบทุกแห่ง รวมทั้งซื้อผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลาย ๆ กองทุนที่กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท หรือ 100 บาท เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลงทุนต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดี 

ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง

ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น

3. ลงทุนในหุ้น

สำหรับคนที่มีเงิน 10,000 บาท ก็สามารถลงทุนในหุ้นได้เช่นกัน เพียงแต่จะมีหุ้นให้เลือกไม่กี่ตัว และซื้อได้ในจำนวนน้อย อีกทั้งในการซื้อ-ขายจะถูกหักค่าธรรมเนียมและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในจำนวนต้นทุนเท่านี้จึงไม่เหมาะกับการซื้อมา-ขายไปในแต่ละวัน เพราะต้นทุนจะถูกค่าธรรมเนียมกินไปหมด อาจใช้วิธีซื้อสะสมไว้แล้วถือไปหลาย ๆ ปี เพื่อรอผลกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือรอรับเงินปันผลก็ได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมก็คือ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่เราจะทำกำไรได้ 10-20% ภายในไม่กี่เดือน มีสูงพอ ๆ กับโอกาสขาดทุน 10-20% หากคิดจะเล่นหุ้นจริง ๆ ต้องทำความเข้าใจในบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นให้มาก ๆ และจับจังหวะซื้อ-ขายให้ถูก ไม่เช่นนั้นเงินเก็บอาจหายวับไปภายในพริบตา

ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง และได้รับเงินปันผล

ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น

4. ออมทอง

ไม่ต้องใช้เงินมากก็ลงทุนในทองคำได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมออมทองที่ให้เราทยอยสะสมทองคำ ซื้อขั้นต่ำครั้งละหลักร้อย หลักพันก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านทองนั้น ๆ ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำ เมื่อออมทองครบตามกำหนดก็สามารถถอนทองออกมาเก็บไว้เองได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านทองเหมือนเดิมก็ได้ ลดความเสี่ยงการถูกโจรกรรมและสูญหาย

ข้อดี : สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ๆ หากอยู่ในช่วงที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น และสามารถเก็บสะสมไว้เป็นทรัพย์สินมีค่าในอนาคตได้

ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุน หากราคาทองอยู่ในช่วงขาลง และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้ระหว่างทางเหมือนกับการลงทุนประเภทอื่น

5. ลงทุนขายของ หรือเปิดธุรกิจ

เงินจำนวน 10,000 บาท สามารถขายของหรือเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ได้ เช่น

  • ขายอาหาร เช่น ขายข้าวกล่อง ขายข้าวแกง ขายขนม ของทอด ของกินเล่น กาแฟ เครื่องดื่มต่าง ๆ
  • ขายของมือสอง โดยอาจจะเริ่มจากค้นหาของในบ้านมาโพสต์ขายในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม 
  • ซื้อแฟรนไชส์ที่เราสนใจ ซึ่งหลาย ๆ ร้านใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
  • เป็นตัวแทนจำหน่าย (Dropship) เหมาะกับคนที่อยากขายของออนไลน์แต่ไม่อยากสต็อกของหรือส่งเอง ก็สมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย แล้วนำภาพและข้อมูลสินค้าจากร้านมาโพสต์ขายตามโซเชียลแล้วบวกกำไรเพิ่มไป เมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเราถึงค่อยไปสั่งซื้อจากร้านค้าอีกที
  • ทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น รับดูแลสัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำ-ตัดขน พาไปเดินเล่น ขายของเล่นสัตว์เลี้ยง ฯลฯ

ข้อดี : ได้สร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง  

ข้อเสีย : ต้องลงมือ ลงแรงเอง ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับความขยัน และจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนๆ สามารถติดตาม ACU PAY Thailand ผ่านช่องทางการติดตามอื่นๆ ได้ที่