คงมีคำถามว่า ถ้าเรามีเงินแค่ 10,000 บาท จะเอาไปทำอะไรได้? วันนี้เรามาทางเลือกให้ทุกคนได้ลองทำตามดูว่า 10,000 บาท ทำให้งอกเงยแบบไหนบ้าง
เลยแจกแจงออกมาเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. ฝากเงินในบัญชีดอกเบี้ยสูง
สำหรับคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้เลย และไม่อยากให้เงินต้นหาย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการฝากเงินไว้กับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง ๆ ซึ่งมีทั้งเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ เพื่อรับอัตราดอกเบี้ย 1.50-3% ต่อปี โดยหากฝากเงินไว้ 10,000 บาท และไม่ถอนเงินออกมาเลย จะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ ดังนี้
แม้ดอกเบี้ยที่รับมาจะดูเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี ก็ยังถือว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่านะคะ ใครยังไม่รู้ว่าจะเปิดบัญชีแบงก์ไหนดี เรารวบรวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงมาให้เลือกกัน
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย ไม่ขาดทุน ฝาก-ถอนได้ทุกเมื่อ และได้รับดอกเบี้ยตามกำหนด
ข้อเสีย : ผลตอบแทนน้อย
2. สลากออมทรัพย์
เป็นวิธีออมเงินที่เงินต้นยังอยู่ครบเช่นกัน แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงมาก แต่มีดีตรงที่ได้ลุ้นโชคทุกงวด ซึ่งหากดวงดีถูกรางวัลขึ้นมา ผลตอบแทนจะยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีมีเงินลงทุนเพียง 10,000 บาท คงซื้อสลากออมทรัพย์ได้ไม่ครบวงจรที่จะถูกรางวัลขั้นต่ำทุกงวดนะคะ ดังนั้นบางงวดอาจจะไม่ถูกรางวัลเลย อยู่ที่ดวงล้วน ๆ ทีนี้ลองมาดูกันว่า ในงบประมาณเท่านี้ เราสามารถซื้อสลากออมทรัพย์ของธนาคารไหนได้บ้าง
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย (ถ้าไม่ไถ่ถอนก่อน 3 เดือน) และยังได้ลุ้นรางวัลตลอดระยะเวลาฝาก เงินรางวัลไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
ข้อเสีย : ถ้าไม่ถูกรางวัลเลยจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ดิจิทัลหรือฝากประจำ
3. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์
พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง เพื่อกู้เงินจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว ๆ 2-4% ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ยิ่งเป็นพันธบัตรที่มีอายุนาน ๆ ก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยสูง
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
ข้อเสีย : ผลตอบแทนไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับอายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้รับยังต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
1. หุ้นกู้
หุ้นกู้ หรือ Corporate Bond คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท โดยหุ้นกู้แต่ละชุดจะกำหนดอายุและอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3-7% ต่อปี ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอันดับเรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หากเป็นบริษัทใหญ่ มีเครดิตระดับ A ขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่า แต่ก็ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าบริษัทที่ได้เครดิตระดับ B
แล้วเงินจำนวน 10,000 บาท สามารถซื้อหุ้นกู้ได้ไหม ? ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่หุ้นกู้มักจะเปิดจองขั้นต่ำที่ 100,000 บาทค่ะ นาน ๆ ทีถึงจะมีหุ้นกู้ที่เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำได้ที่ 1,000 บาทขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ดิจิทัลที่จำหน่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถ้าใครสนใจลงทุนก็ต้องคอยติดตามข่าวการออกหุ้นกู้ ถึงจะซื้อได้ทัน
ข้อดี : ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2-4 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับหุ้นกู้แต่ละชุด)
ข้อเสีย : มีโอกาสได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยล่าช้ากว่ากำหนด หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปจนถึง AAA เพราะแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงและผลประกอบการดี
2. กองทุนรวม
กองทุนรวม คือ การระดมเงินจากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ โดยผู้ซื้อจะได้รับหน่วยลงทุน และมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล หากกองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ กองทุนรวมมีหลายประเภท เรียงตามลำดับความเสี่ยงและการลงทุน เช่น
เดี๋ยวนี้เราสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถซื้อผ่านธนาคารได้เกือบทุกแห่ง รวมทั้งซื้อผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลาย ๆ กองทุนที่กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท หรือ 100 บาท เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลงทุนต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดี
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น
3. ลงทุนในหุ้น
สำหรับคนที่มีเงิน 10,000 บาท ก็สามารถลงทุนในหุ้นได้เช่นกัน เพียงแต่จะมีหุ้นให้เลือกไม่กี่ตัว และซื้อได้ในจำนวนน้อย อีกทั้งในการซื้อ-ขายจะถูกหักค่าธรรมเนียมและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในจำนวนต้นทุนเท่านี้จึงไม่เหมาะกับการซื้อมา-ขายไปในแต่ละวัน เพราะต้นทุนจะถูกค่าธรรมเนียมกินไปหมด อาจใช้วิธีซื้อสะสมไว้แล้วถือไปหลาย ๆ ปี เพื่อรอผลกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือรอรับเงินปันผลก็ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมก็คือ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่เราจะทำกำไรได้ 10-20% ภายในไม่กี่เดือน มีสูงพอ ๆ กับโอกาสขาดทุน 10-20% หากคิดจะเล่นหุ้นจริง ๆ ต้องทำความเข้าใจในบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นให้มาก ๆ และจับจังหวะซื้อ-ขายให้ถูก ไม่เช่นนั้นเงินเก็บอาจหายวับไปภายในพริบตา
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง และได้รับเงินปันผล
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น
4. ออมทอง
ไม่ต้องใช้เงินมากก็ลงทุนในทองคำได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมออมทองที่ให้เราทยอยสะสมทองคำ ซื้อขั้นต่ำครั้งละหลักร้อย หลักพันก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านทองนั้น ๆ ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำ เมื่อออมทองครบตามกำหนดก็สามารถถอนทองออกมาเก็บไว้เองได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านทองเหมือนเดิมก็ได้ ลดความเสี่ยงการถูกโจรกรรมและสูญหาย
ข้อดี : สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ๆ หากอยู่ในช่วงที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น และสามารถเก็บสะสมไว้เป็นทรัพย์สินมีค่าในอนาคตได้
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุน หากราคาทองอยู่ในช่วงขาลง และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้ระหว่างทางเหมือนกับการลงทุนประเภทอื่น
5. ลงทุนขายของ หรือเปิดธุรกิจ
เงินจำนวน 10,000 บาท สามารถขายของหรือเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ได้ เช่น
ข้อดี : ได้สร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง
ข้อเสีย : ต้องลงมือ ลงแรงเอง ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับความขยัน และจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ