คะแนนเครดิตคืออะไร ทำไมต้องมีบัตรเครดิตเพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเอง หลายคนอาจสงสัยถึงความสำคัญของบัตรเครดิต เพราะปกติมีบัตรเครดิตก็ใช้แค่รูดผ่อนของ แต่ความจริงแล้วบัตรเครดิตนี่แหละ จะเป็นตัววัดสามารถในการชำระหนี้ของเจ้าของบัตร ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเจ้าของบัตรเครดิตในการกู้ยืมต่าง ๆเป็นอย่างมาก
‘เครดิตสกอริ่ง’ หรือ ‘คะแนนเครดิต’ คือคะแนนประวัติเครดิตที่สถาบันการเงินใช้ในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้จากเจ้าของบัตรเครดิต โดยดูจากสถิติและประวัติการชำระหนี้ ซึ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อเจ้าของบัตรเครดิตต้องการยื่นกู้สินเชื่อต่าง ๆ คะแนนเครดิตจะใช้เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดว่าจะได้รับการอนุมัติวงเงินหรือไม่ หรือ ได้รับจำนวนมากน้อยเท่าไร โดยเจ้าของบัตรจะได้เงินกู้มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับคะแนนเครดิตที่สถาบันการเงินพิจารณา
การมีคะแนนเครดิตที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้สถาบันการเงินปล่อยกู้สินเชื่อได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นาย A อยากขอเงินกู้ซื้อบ้าน ประวัตินาย A คือไม่เคยมีบัตรเครดิตและไม่เคยมีหนี้มาก่อน เวลาซื้อสินค้าอะไรจะเลือกจ่ายเงินสดตลอด หลาย ๆ คนคงคิดว่านาย A ต้องมีคะแนนเครดิตที่ดีมาก แต่ความจริงแล้วนาย A กลับอาจจะขอกู้ยากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากสถาบันการเงินไม่สามารถรู้รายละเอียดการใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่ถ้านาย A มีบัตรเครดิตและประวัติผ่อนชำระสินค้า จ่ายเต็มจ่ายครบทุกเดือน สถาบันการเงินก็จะพิจารณาให้กู้ผ่านได้ง่ายขึ้น
ในความจริงแล้ว บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ National credit Bureau (NCB) เป็นผู้ที่ถือข้อมูลเครดิตของลูกค้าไว้ทั้งหมด โดยที่ NCB จะมีการทำ credit scoring ไว้ส่วนหนึ่ง แต่ธนาคารและสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อจะไม่ได้เอาคะแนนเครดิตที่ NCB ทำไว้มาใช้ทั้งหมดโดยตรง แต่จะเอาข้อมูลที่ได้มาผสมใหม่ให้เป็นเกณฑ์ของแต่ละธนาคารนั้น ๆ ก่อนจะตัดเป็นเกรด โดยจะพิจารณาทั้งหมด 8 ปัจจัยคือ
ปัจจุบันการตรวจสอบเครดิตสกอร์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป นอกจากจะสามารถตรวจสอบเครดิตสกอร์ที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ตู้เอทีเอ็ม หรือที่เคาน์เตอร์ธนาคารแล้ว คุณสามารถทำได้ผ่าน Mobile Banking ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันของแต่ละธนาคาร โดยการตรวจสอบส่วนมากจะรู้ผลใน 3-7 วัน และมีค่าใช้บริการ 150 บาท
หากพบว่าขณะนี้มีคะแนนเครดิตต่ำ และเสี่ยงต่อการที่จะไม่ผ่านอนุมัติ คุณเองควรเริ่มต้นเพิ่มเครดิตสกอร์ของคุณเองด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. ชำระหนี้ตรงเวลา
ควรจะทำการชำระให้ตรงเวลา เนื่องจากการจ่ายหนี้บัตรเครดิตให้ตรงเวลาถูกคิดเป็นสัดส่วนที่มากถึง 30 – 40% ของเครดิตสกอร์เลยทีเดียว อาจหาตัวช่วยด้วยการตั้งเตือนสำหรับการชำระหนี้ทุกครั้ง หรือใช้บริการตัดผ่านบัญชีอัตโนมัติของธนาคาร
2. หมั่นตรวจสอบเครดิตสกอร์
โดยสามารถตรวจสอบได้ตามวิธีข้างต้นที่กล่าวไป ไม่ว่าจะที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโรโดยตรง ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ที่ทำการไปรษณีย์ ตู้เอทีเอ็ม โมไบล์แอปฯ หรือทางเว็บไซต์ของธนาคาร ซึ่งสะดวกและง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
3. ลดจำนวนหนี้สินหมุนเวียน
การมีหนี้สินน้อยส่งผลดีต่อเครดิตสกอร์ เพราะจะช่วยลดสัดส่วนหนี้ต่อวงเงินอนุมัติ ถ้ามีหนี้ที่ค้างชำระก็ควรรีบชำระให้หมด แต่ถ้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบและตรงเวลา ควรติดต่อสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อ เพื่อทำการเจรจาประนอมหนี้
อย่างไรก็ตามในกรณีที่เคยผิดชำระหนี้และชำระหนี้ครบแล้ว จะถูกนำไปคำนวณ Credit Scoring และอยู่ในระบบเครดิตบูโรนานถึง 3 ปี แต่เมื่อครบ 3 ปีแล้วไม่ต้องกังวล เพราะข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้จะถูกลบออก และ Credit Scoring จะกลับสู่ระดับดีอีกครั้ง ถ้าไม่มีการผิดชำระหนี้เพิ่มในระหว่างนั้น