หลายคนเป็นกันรึเปล่า อยากเก็บเงินแต่ทำไมทำไม่ได้สักที เป็นเพราะอะไรกันนะ ลองมาใช้ทฤษฎีที่เรียกว่า “Nudge Theory” หรือ “ทฤษฎีผลักดัน” ที่จะทำให้เราสามารถเก็บเงินได้อยู่หมัด ซึ่งทฤษฎีนี้จะเป็นแบบไหน ตาม ACU PAY มาเลย
ทำไมคนเราถึงยอมสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินของไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่เรารู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ แต่ก็ยังทำต่อไป เรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออมเงิน การใช้จ่ายต่าง ๆ ฟุ่มเฟือยก็เช่นกัน
เหตุผลของสภาวะนี้อยู่ในข้อสันนิษฐานตั้งต้นของ ดร.ริชาร์ด เอช. เธเลอร์ (Richard H. Thaler) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันว่า “มนุษย์นั้นไร้เหตุผลและมักตัดสินใจผิดพลาดเพราะมีพฤติกรรมเอนเอียงไปกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เกิดขึ้น ตามสถานการณ์หรือตามอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว” แนวคิดนี้ได้นำมากลั่นกรองทั้งในเชิงเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยา สร้างแรงจูงใจแต่ไม่บังคับจนเกิดเป็น ทฤษฎี Nudge Theory ขึ้น
Nudge Theory คือการออกแบบทางเลือกที่ไม่บังคับมากจนเกินไป ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จได้ เพราะโดยปกติแล้วคนเราไม่ค่อยคิดถึงเป้าหมายในระยะยาวสักเท่าไหร่ คิดก็แค่เพียงเป้าหมายระยะสั้น ๆ ซึ่งการเก็บเงินจึงเหมือนกับการบีบบังคับให้เราเครียดกับเป้าหมายขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ จนสุดท้ายก็ทำให้การบรรลุเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ทฤษฎีนี้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการเก็บเงิน โดยมี 4 ขั้นตอนด้วยกันดังนี้
การสร้างแรงบันดาลใจในการเก็บเงิน อย่าง การให้รางวัลตัวเอง หลังจากเก็บเงินได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น จะช่วยให้เราทำเป้าหมายได้สำเร็จและมีกำลังใจในการเก็บเงินมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งใจจะเก็บเงินเดือนละ 3,000 บาททุกเดือน ถ้าทำครบ 1 ปี ก็จะให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของที่อยากได้มากที่สุด 1 ชิ้น ด้วยงบไม่เกิน 5,000 บาท เท่านี้ เราก็จะมีกำลังใจในการเก็บเงินต่อไปแล้ว
ในเมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้วว่าในแต่ละเดือน จะเก็บเงินให้ได้ 3,000 บาท พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราก็ควรปรับเปลี่ยนให้สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จด้วย ถ้าเราเป็นสายช้อป สายปาร์ตี้ ก็อาจจะลดความถี่ในการช้อปหรือการไปเที่ยวสังสรรค์น้อยลง หรืออาจจะลองหากิจกรรมที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือจ่ายน้อยลงแทน
การจะทำอะไรก็ตามให้สำเร็จ นอกจากจะขึ้นอยู่กับวินัยแล้ว ยังขึ้นอยู่กับการวางแผนและการจัดการที่ดีอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกเงินออกมาเป็นสัดส่วนให้ชัดเจน เช่น เราอาจใช้แอปพลิเคชันออมเงินที่เดี๋ยวนี้สามารถแบ่งเป็นกระเป๋าย่อย ออกมาเป็นสัดส่วน ให้เราคอยเอาเงินไปออมตามกระเป๋าที่เราสร้างไว้จะช่วยให้เราใช้เงินแบบไม่ปะปนกัน แต่สำหรับใครที่อดใจไม่ไหวชอบโยกเงินออกบ่อย ๆ อาจลองเปิดบัญชีออมทรัพย์แยกบัญชีไปเลย จะได้ไม่เผลอเอาเงินนั้นมาใช้จ่ายจนลืมตัว
ถึงการดูยอดเงินบ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงสิ้นเดือน จะทำให้เราช้ำใจกับเงินที่หดลงเรื่อย ๆ แต่การเช็กยอดเงินอยู่สม่ำเสมอ จนติดเป็นนิสัย จะทำให้เราไม่เผลอใช้เงินฟุ่มเฟือย ซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะไม่รู้จำนวนเงินในบัญชีของตัวเองเหลือเท่าไหร่ ดังนั้นวิธีนี้จะเป็นเหมือนกับการย้ำเตือนตัวเอง จะได้ไม่เผลอใช้เงินจนหมดตัวนั่นเอง โดยส่วนที่เป็นเงินเก็บ ก็ควรแยกออกมาให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือน หรือใช้วิธีการหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ตัวเองลืมนั่นเอง
Nudge Theory ก็ถือเป็นการเทคนิคการออมเงินอีกแบบหนึ่ง ที่ช่วยทำให้เรามีทางเลือกในการเก็บออมเงินมากขึ้น และทำให้รู้ว่าการออมเงินไม่ใช่เรื่องยากเสมอไป