หากเราเคยดูสารคดีที่เกี่ยวกับหมี เราจะสังเกตได้ว่าเวลาที่เขาต่อสู้ หรือออกล่า ลักษณะท่าทางให้การต่อสู้ มีลักษณะที่ยืนขึ้น หรือยกตัวขึ้นมา และตว่ำมือตบลงไปที่คู่ต่อสู้ ในตลาดก็เช่นกัน ก่อนที่ตลาดจะตก หรือร่วงลงมา ก็จะทำการเทคตัว หรือยกตัวขึ้นก่อน จะทำการร่วงลงมาคล้ายๆ กับการตบ หรือตะปบลงมาของหมี ดังนั้น ด้วยลักษณะท่าทางของหมีเองจึงทำให้กลายตัวแทน หรือชื่อของตลาดขาลง ที่หลายๆคนอาจจะไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่กระทิงกำลังจะฟื้นตัวขึ้นมา
ชื่อเรียกแทนตลาดขาขึ้นนี้เอง ก็มาจากลักษณะของการต่อสู้เช่นกัน ซึ่งในที่นี้ เป็นของ “กระทิง” ลักษณะการต่อสู้ของกระทิงเองจะเริ่มจากกดหัว และเขาลง เพื่อที่จะทำการขวิด และทิ่มแทงใส่คู่ต่อสู้ ในตลาดเองก็เช่นกัน ก่อนตลาดจะขึ้นจะมีการปรับตัวลงมาเพื่อปรับฐาน และกลับตลาดขึ้นไป หรือขวิดขึ้นไปนั่นเอง ดังนั้นกระทิงจึงได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของตลาดขึ้นที่ใครๆ เห็นก็ยิ้มไปตามๆ กัน
และมีการสันนิษฐานว่าการใช้สัตว์เพื่อเปรียบเปรยภาวะตลาดหุ้นนั้นมีต้นกำเนิดมาจากการแสดงต่อสู้สัตว์ที่ได้รับความนิยมในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 16 – 19 โดยหมีมีท่าทางการต่อสู้และพฤติกรรมการโจมตีเหยื่อด้วยการใช้อุ้งมือตะปบลง เหมือนราคาหุ้นที่ร่วงลงมา ขณะที่กระทิงจะต่อสู้โดยการขวิดขึ้น เหมือนราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นนั่นเอง
ส่วนสาเหตุที่เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ตลาดหมี” นั้น มีหลายทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีหนึ่งได้เปรียบภาวะนี้กับ “การจำศีล” ของหมี ซึ่งนักลงทุนมักจะเก็บเงินทุนไว้ใน “ภาวะจำศีล” จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีคำว่า “ตลาดกระทิง” (bull market) ซึ่งมีความหมายตรงข้าม โดยหมายถึงช่วงขาขึ้นของตลาดหุ้น และนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามไม่วว่า “ตลาดหมี” หรือ “ตลาดกระทิง” ย่อมีโอกาสเสมอ เพียงแต่เราต้องมีว่าเรายืนอยู่จุดไหนของตลาด เพื่อที่เราจะมองหาโอกาสในได้ในทุกสภาวะตลาดนั่นเอง