หลายคนอาจสงสัยว่าที่บอกว่าเงินที่หักไปเอาไปจ่ายค่าประกันสังคม แล้วค่าประกันสังคมนี้มีอะไรบ้าง ทำไมเราจำเป็นต้องจ่ายให้ทุกเดือน ครั้งนี้ ACU PAY จะพามาหาคำตอบ พร้อมบอกสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมในแต่ละกลุ่มให้ฟัง
“ประกันสังคม” เป็นการออมเงินภาคบังคับที่รัฐบาลสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีหลักประกันในการใช้ชีวิต มีความมั่นคงให้ครอบครัวและมีเงินเก็บส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมใช้เพื่อการเกษียณ ถือเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชนผู้มีรายได้ที่จ่ายเงินสมทบเข้า ‘กองทุนประกันสังคม’ อย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทยมีการแบ่งผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคมออกเป็น 3 มาตรา ได้แก่ มาตรา 33, มาตรา 39 และมาตรา 40 โดยใช้เกณฑ์การแบ่งดังนี้
ลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปีบริบูรณ์ในวันเข้าทำงาน และทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
กลุ่มคนเหล่านี้จะถูกหักเงินสมทบประกันสังคมจากเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนเข้าสู่กองทุนประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอในอัตรา 5% ของค่าจ้าง และนายจ้างจะสมทบเพิ่ม 5% รัฐบาลสมทบเพิ่ม 2.75% โดยคิดเป็นเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 83 บาท ไปจนสูงสุดถึงเดือนละ 750 บาทตามอัตราเงินจ้าง
750 บาท ที่จ่ายไปแบ่งเป็นค่าอะไรบ้าง
▸ 225 บาท สำหรับดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ เงินส่วนนี้จะหายไป ไม่ได้คืน
▸ 75 บาท สำหรับประกันการว่างงาน ที่สามารถรับได้ในระหว่างที่หางานใหม่ แต่หากไม่มีช่วงว่างงาน เงินส่วนนี้จะไม่ได้รับคืนเช่นเดียวกัน
▸ 450 บาท เป็นเงินออม ที่จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี
ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ โดยเป็นบุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จ่ายเงินสมทบก่อนออกจากงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนแล้วลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน แต่ต้องการรักษาสิทธิประกันสังคม
กลุ่มคนเหล่านี้จำเป็นต้องนำส่งเงินจำนวน 432 บาทต่อเดือน ทุกเดือนต่อเนื่องกัน ซึ่งหากไม่ส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือภายในระยะเวลา 12 เดือนส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน ก็จะถือว่าสิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 ในทันที
บุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพ หรือแรงงานอิสระอายุ 15 – 65 ปีบริบูรณ์ ที่ไม่เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
การจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตน มาตรา 40 ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ สามารถเลือกจ่ายได้ตั้งแต่ 70, 100 และ 300 บาทต่อเดือน เพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป
ในแต่ละมาตรามีสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน จนอาจทำให้ผู้ประกันสังคมพลาดสิทธิและเงินที่ควรได้ในแต่ละปี โดยสิทธิประโยชน์มีดังนี้
นอกจากนี้หากแพทย์ให้หยุดงานเพื่อรักษาตัว ยังได้รับเงินชดเชย จากการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนวันรักษาสามารถใช้สิทธิด้านทันตกรรม ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด ได้ไม่เกิน 900 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงการทำฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน และฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปาก เป็นวงเงินไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ฉีดปีละ 1 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง ณ สถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ซึ่งในปี 2566 จะเปิดให้บริการระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2566
สิทธิประกันสังคมให้ความคุ้มครองสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนรักษาหลังจากได้รับไวรัสพิษสุนัขบ้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
▸ วัคซีนรักษาไวรัสพิษสุนัขบ้า
สิทธิประกันสังคมให้ความคุ้มครองสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนรักษาหลังจากได้รับไวรัสพิษสุนัขบ้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน มีระยะเวลาว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป และต้องไม่ถูกเลิกจ้างในกรณีทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย เมื่อตกงานทั้งเกิดจากการถูกเลิกจ้างหรือลาออก จะได้รับเงินชดเชย ดังนี้
▸ ในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างจริงแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นระยะเวลาครั้งละไม่เกิน 180 วัน หรือ 6 เดือน ต่อรอบใน 1 ปี
▸ ในกรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน ได้รับเงินชดเชย 30% ของค่าจ้างเฉลี่ยแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นระยะเวลาครั้งละไม่เกิน 90 วัน หรือ 3 เดือน ต่อรอบใน 1 ปี
สำหรับผู้ประกันตนทั้ง 3 มาตรา (33, 39 และ 40) ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือนก่อนได้รับเงินทดแทน ผู้ประกันตนที่มีบุตรอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้รับเงินค่าสงเคราะห์บุตรคนละ 800 บาทต่อเดือน ครั้งละไม่เกิน 3 คน
สำหรับผู้ประกันตนทั้ง 3 มาตรา (33, 39 และ 40) กรณีทุพพลภาพร้ายแรงจะได้รับเงินชดเชย 50 % ของค่าจ้างเป็นรายเดือนตลอดชีวิต รวมทั้งได้รับสิทธิจ่ายตามจริงเมื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ หากรักษาที่เอกชน กองทุนจะจ่ายให้เดือนละไม่เกิน 2,000 บาท สำหรับผู้ป่วยนอก ส่วนผู้ป่วยในได้เดือนละไม่เกิน 4,000 บาท ทั้งนี้เมื่อชราภาพแล้วผู้ทุพพลภาพยังคงได้รับสิทธิบำเหน็จเหมือนคนทั่วไป
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 36 – 120 เดือน หากเสียชีวิตผู้ประกันตนจะได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท บวกกับเงินสมทบ 50 % ของค่าจ้างเฉลี่ย 4 เดือน ส่วนผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วมากกว่า 120 เดือน จะได้รับเงินสมทบ 50 % ของค่าจ้างเฉลี่ย 12 เดือน
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 เฉพาะแผน 1 และ 2 จะได้รับค่าทำศพ 25,000 บาท พร้อมรับเงินเพิ่มอีก 8,000 บาท กรณีจ่ายสมทบครบ 60 เดือนก่อนเสียชีวิต สำหรับแผน 3 จะได้รับค่าทำศพ 25,000 บาท
เมื่อรู้เรื่องสิทธิประโยนช์ของประกันสังคมแล้ว ทีนี้เราก็จะไม่พลาดสิทธิและเงินที่ควรได้ในแต่ละปี ถึงแม้ว่าประกันสังคมอาจไม่ได้ครอบคลุมมากเหมือนกับการซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิตด้วยตัวเองก็ตาม แต่อย่างน้อยประกันสังคมก็สามารถช่วยสิทธิพื้นฐานของประชาชนได้แค่ส่วนหนึ่ง