ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายๆคนคงได้เคยช้ e-Wallet ที่เป็นกระเป๋าเงินที่อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เก็บเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือที่เรียกว่า e-Money และเพื่อใช้จ่ายเราต้องเติมเงินก่อน ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าเงินที่เราเติมจะไม่สูญหายไปไหนมาดูกันครับว่าผู้ให้บริการต้องมีมาตรการ และปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้เราใช้ e-Moneyได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเงินที่เราเติมจะหายไปไหนหรือไม่
e-Money (Electronic Money) หรือ เงินอิเล็กทรอนิกส์ คือ มูลค่าเงินที่ถูกบันทึกในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์(เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ในบัตรแทนเงินสดหรือบัตรพลาสติก เครือข่ายโทรศัพท์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต )ซึ่งผู้ใช้งานได้ชำระหรือเติมเงินไว้ล่วงหน้า หรือหักผ่านบัญชีธนาคารโดยตรง (Pre-paid) แก่ผู้ให้บริการ e-Money หรือ ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ e-Wallet ซึ่งสามารถใช้ชำระสินค้า หรือบริการได้ตามที่ร้านค้าที่รับชำระ
ในปัจจุบัน e-Money มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นทางเลือก และพัฒนาการที่สำคัญในการชำระเงิน และเมื่อเจาะลึกถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายด้วย e-Money พบว่า ธุรกรรมส่วนใหญ่กว่า 83% มีมูลค่าต่ำกว่า 100 บาท มีมูลค่าเฉลี่ยเพียง 41 บาทต่อรายการเท่านั้นมูลค่าใช้จ่ายที่ต่ำยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความถี่ และการใช้จ่ายด้วย e-Money เป็นตัวเลือกที่คนไทยเลือกใช้ในการใช้จ่าย หรือชำระค่าสินค้าเป็นประจำในชีวิตประจำวันแทนการใช้เงินสด
จากข้อมูลของในปี 2021 ปีที่ผ่านมา มีปริมาณการใช้จ่ายมากกว่า 2,537 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยมากกว่า 7 ล้านครั้งต่อวัน หากเทียบกับประชากรในประเทศไทยใช้จ่ายคนละ 1 ครั้งต่อวัน จะคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และเทียบเทียบกับระบบ e-Payment โดยรวมที่มีปริมาณการใช้จ่ายกว่า 20 ล้านรายการ คิดเป็นร้อยละ 25 ของระบบ e-Payment ทั้งหมด
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานั้นสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมคนไทยในการใช้ e-Money(เงินอิเล็กทรอนิกส์) ในชีวิตประจำวันมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะใช้แทนเงินสดเพิ่มมากขึ้นด้วย สังเกตได้จากมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ไม่สูงมากนัก แต่กลับมีปริมาณที่ใช้จ่ายในระบบ e-Payment ที่สูง
เพื่อนๆ คิดว่าอะไรที่จะทำให้ระบบ e-Money เติบโต หรือเป็นระบบการชำระเงินที่ใช้แทนเงินสดได้บ้างครับ