ขึ้นอีกแล้วจ้าภาษีความหวาน ซึ่งครั้งนี้เป็นระยะที่ 3 โดยเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นมา หลังจากที่กรมสรรพสามิต ได้คงระยะเวลาภาษี 6 เดือน ตามมติ ครม. ที่เห็นชอบให้คงภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 – 31 มี.ค. 2566 เดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับ “ภาษีความหวาน” กันดีกว่า เหตุผลทำไมต้องมี และต่อไปจะขึ้นอีกหรือไม่
กรมสรรพสามิตได้เริ่มจัดเก็บภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลในสินค้าเครื่องดื่มตั้งแต่ปี 2560 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีการปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาล เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอดซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างภาษีหลายอัตรา โดยการจัดเก็บภาษีสรรสามิตจากค่าความหวาน (ปริมาณน้ำตาล) กรมสรรพสามิตมีวัตถุประสงค์หวังว่าราคาของสินค้าน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานจะมีราคาสูงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคน่าจะลดการบริโภคสินค้าเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ลง รวมถึงทำให้คนไทยสุขภาพดีขึ้น
โดยมีการกำหนดโครงสร้างภาษีในอัตราแบบขั้นบันได 3 ระยะ ได้แก่
สำหรับภาษีความหวาน ระยะที่ 3 ที่เริ่มเก็บตั้งแต่ 1 เมษายน 2566-31 มีนาคม 2568 มีอัตรา ดังนี้
โดยภาษีความหวานจะมีการปรับขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 2 ปี ซึ่ง ถ้าผู้ประกอบการไม่ปรับตัวในการผลิต โดยลดความหวานลงจะเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องดื่มที่มีสารความหวาน 10-14 กรัมต่อลิตร จะเสียภาษีเพิ่มจาก 1 บาท เป็น 3 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ผลิตทยอยลดปริมาณน้ำตาลลงแล้ว ซึ่งจะไม่ทำให้มีภาระภาษีเพิ่มแต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีผู้ผลิตเครื่องดื่มที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่ารายการ ล่าสุดในเดือนมกราคม 2566 เพิ่มเป็น 1,800 รายการ หรือเพิ่มมากกว่าเดิม 9 เท่าตัว เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยกว่า 6 กรัม (อัตราภาษีความหวาน 0 บาทต่อลิตร) กำลังมีมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลดีกับผู้บริโภค ถ้าลดปริมาณน้ำตาลลงก็จะไม่เสี่ยงกับโรคเบาหวาน